ไหว้พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ 3 จังหวัด ตอนที่ 2
วันที่ 6 กันยายน 2558 วันนี้เป็นวันอาทิตย์พวกเราตื่นแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มากนัก ชาวเชียงใหม่ให้ความนิยมกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงวันหยุด หรือเทศกาล อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส จะมีคนไปกันมากเป็นพิเศษ
อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า หมู่ที่ ๓ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นกันที่จากแยกโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ-สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี เลียบคลองชลประทาน ผ่านโรงเรียนนวมินทร์ฯ-มูลนิธิขาเทียม-กรมทางหลวง-ททบ.๕-สถานีพัฒนาที่ดินเชียงใหม่ และเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานคลองชลประทาน เข้าสู่โครงการฯ ห้วยตึงเฒ่า รวมระยะทางประมาณ ๙ กิโลเมตร (แผนที่และข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.fca16.com)
ภูมิทัศน์รอบอ่างเก็บน้ำที่สวยงาม ประกอบด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ (เต็ง รัง เหียง) และไผ่ชนิดต่างๆ มีร้านค้าขายอาหาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่อนักท่องเที่ยวมากมาย ได้แก่สถานที่เล่นน้ำ สถานที่ออกกำลังกาย พื้นที่กางเต้นท์ กิจกรรมพายเรือ จักรยานน้ำ ตกปลา และกิจกรรมทางศาสนา เป็นต้น เปิดบริการทุกวัน 07.00 - 18.00 น. และเก็บค่าบริการนักท่องเที่ยว คนละ 20 บาท
เราไปถึงประมาณ 08.00 น.เศษ มีฝนตกเล็กน้อย จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่เท่าใดนัก (ยกเว้นนักปั่นจักรยาน) อากาศสดชื่นมาก ๆ ถนนก็ใช้ได้สะดวสบาย ขับรถไปรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำ และหยุดเพื่อเก็บภาพบรรยากาศที่สดใสยามเช้ามาแชร์กัน ในภาพบนจะเห็นซุ้มที่นั้งรับประทานอาหาร และเครื่องเล่นทางน้ำส่วนภาพล่างจะเป็นนักปั่นจักรยานที่มาออกกำลังและฝึกซ้อมปั่นรอบอ่างเก็บน้ำครั้งละหลาย ๆ รอบ
ฟอกปอดด้วยอ็อกซิเจนบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ประมาณ 09.00 น.เศษ พวกเราเดินทางออกจากห้วยตึงเฒ่า โดยย้อนกลับเส้นทางเดิม (เรียบคองชลประทาน) อ่านป้ายประชาสัมพันธ์ข้างทางเกี่ยวกับงาน RANNA EXPO 2015 วันที่ 4 - 13 กันยายน 2558 ณ อาคาร SME ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ตัดสินใจขับรถแวะเข้าไปยังบริเวณงานทันที
เสาธงชาติ และ สัญลักษณ์ด้านหน้าของอาคารที่จัดงาน RANNA EXPO 2015
สินค้าประเภทผลิตภันฑ์พื้นบ้าน เช่น ไม้แกะสลัก สมุนไพรไทย และแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น
ร้านอาหารพื้นเมือง
ร้านผ้าพื้นเมือง
เดินชมงานประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ไม่ครบทุกอาคารหรอกครับ เนื่องจากแข้งขาไม่ค่อยจะเป็นใจกับเราเท่าใดนัก ซื้ออาหารพื้นเมืองมานั่งรับประทานรองท้องก่อนมื้อเที่ยง และดูผู้คนที่ผ่านไปมา นั่งพักสักครู่ออกเดินทางกลัวตัวเมืองเชียงใหม่ ได้เวลาอาหารกลางวันพอดีพลาดไม่ได้หาร้างอาหารอร่อย ๆ ทานกันดีกกว่า
จุดที่เราแวะรับประทานอาหารกลางวันกันนั้น จะอยู่ไม่ไกลจากวัดเก่าแก่ของเชียงใหม่วัดหนึ่ง ซึ่งมีจุดเด่นและน่าสนใจไปอีกรูปแบบหนึ่ง พวกเราจึงไม่พลาดที่จะเข้าไปศึกษาเรียนรู้กันในช่วงบ่าย ๆ วัดดังกล่าว คือ วัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม)
ป้ายด้านหน้าวัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม) จ.เชียงใหม่ จาก
คำสอนของหลวงพ่อปัญญานันทะ ณ ศูนย์หนังสือพระพุทธศาสนาวัดอุโมงค์

ลายภาพเขียนฝาผนังที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง : ภาพจาก 2g.pantip.com
ภาพแห่งความเชื่อความศรัทธา

หลังคาโปร่งแสงเพิ่มความสว่างภายในอุโมงค์
ผ่านประตูทางเข้าวัดหลายคนอาจเข้าใจผิด..วัดหรือป่าชุมชนกันแน่ ? แต่สำหรับผู้เขียนนับว่าถูกใจ และอยากเห็นป่าในเมืองอย่างเช่นวัดแห่งนี้มีมากขึ้นให้มากที่สุด
เพราะความสงบเงียบและความร่มรื่นของพรรณไม้ จะช่วยให้เราผ่อนคลายทางด้านจิตใจ เกิดสมาธิและเกิดความปัญญาติดตามมา
ถนนเส้นทางเดินเล็ก ๆ นี้ ใช้ประโยชน์หลายอย่าง อาทิ การเดินทำสมาธิ การเดินสำรวจพรรณไม้สมุนไพร การสำรวจนก หรือสัตว์ป่าต่าง ๆ เป็นต้น
เดินขึ้นบันไดไปซ้ายมือจะพบ อนุสาวรีย์พระเจ้าเม็งรายมหาราช (The Great King Mangrai) พญาเม็งราย (เม็ง) ประสูตรเมื่อปีกุน พ.ศ.1782 ครองเมืองเงินยางเชียงแสน แทนพญาลาวเม็ง พระราชบิดาเมื่อ พ.ศ. 1802 ทรงพระปรีชาสามารถรวบรวมแคว้นและเมืองต่าง ๆ เข้าเป็นอาณาจักรล้านนาไทย ทรงตรากฎหมาย "มังรายศาสตร์" ใช้ปกครองบ้านเมืองเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์มีงราย สืบเชื้อสายครองเมืองเชียงใหม่อาณาจักรล้านนาไทยต่อมาอีก 17 พระองค์ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.1854 รวมพระชนม์มายุได้ 72 พรรษา
เมื่อครั้งพญาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว ประมาณ พ.ศ.1840 ได้สร้างวัดขึ้นบริเวณป่าไผ่ 11 กอ คือ วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) เป็นวัดฝ่ายอรัญญวาสี สำหรับภิกษุที่เรียนพุทธวจนะแล้วออกไปหาความสงบในป่า เพื่อบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน
หลักศิลาจารึก ที่บันทึกประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์
วัดอุโมงค์ ( U - Mong Temple) เดิมชื่อวัดเวฬุกัฎฐาราม แปลว่า วัดไผ่ 11 กอ ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อครั้งพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว ในปี พ.ศ. 1840 ได้สร้างวัดขึ้นบริเวณป่าไผ่ 11 กอ เพื่อถวายเป็นที่พำนักแด่พระภิกษุนามเถรจันทร์ และภิกษุชาวสิงหล (ลังกา) ในอดีตถือเป็นวัดป่าหรืออรัญญวาสี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเวียงสวนดอกนอกเวียงเชียงใหม่ ภายในเจดีย์ทรงระฆังกลม ตั้งฐานกลมเตี้ย (รูปแบบคล้ายกับเจดีย์สัปต เมืองพุกาม ซึ่งสร้างในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 19)
ภายในห้องกรุใต้องค์เจดีย์มีภาพเขียนรูปอดีตพระพุทธเจ้าประทับนั้งอยู่ในซุ้มเรือนแก้วเรียงกันเป็นแถว องค์เจดีย์ตั้งอยู่บนเนินลานโล่ง ล้อมรอบด้วยกำแพง มีบันไดนาคทางขึ้น-ลงอยู่ทางทิศใต้ ด้านทิศตะวันออก้ป็นลานหินหลังคาของอุโมงค์ที่มีช่องประตูทางเข้าอยู่ด้านล่าง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปและตกแต่งผนังคูหาด้วยภาพวิจิตรกรรมรูปต้นไม้ ดอกไม้ และนก สัญนิษฐานว่าวัดนี้สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21
ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 เจ้าชื่นสิโรรส ได้ปรับปรุงซ่อมแซมและสร้างสวนพุทธธรรมขึ้นในวัด แล้วนิมนต์ท่านปัญญานันทะภิกขุ (พระธรรมโกศาจารย์) มาเป็นเจ้าอาวาส วัดอุโมงค์นับได้ว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่
อนุสาวรีย์ของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ณ ลานด้านหน้าอุโมงค์ : ภาพจาก 2g.pantip.com
|
เสาอโศก เครื่องระลึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราชพระมหากษัตริย์ของประเทศอินเดียราว พ.ศ. 270 ผู้เป็นเอกอัครศาวสนูปถัมภก และทรงเป็นนักเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่องค์แรกของโลก เสานี้เป็นเครื่องหมายอันสำคัญซึ่งค้นพบที่อินเดีย เมื่อเสาอโศกนี้ตั้งอยู่ที่ใดนั้น หมายถึง สถานที่นั้นมีความสำคัญกับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และพุทธศาสนา เสานี้จำลองมาสร้างเมื่อ พ.ศ. 2507
ด้านหน้าอุโมงค์ : ภาพจาก https://th.wikipedia.org
ด้านหน้าอุโมงค์ : ภาพจาก2g.pantip.com
ลายภาพเขียนฝาผนังที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง : ภาพจาก 2g.pantip.com
จิตรกรรมฝาผนังวัดอุโมงค์ในส่วนที่เหลือหลักฐานให้ชมในปัจจุบันอยู่บริเวณเพดานโค้งภายในอุโมงค์ ตัวอุโมงค์ตั้งอยู่บริเวณต่อเนื่องกับเจดีย์ทางทิศเหนือ โดยหันทางเข้าหลักไปยังทิศตะวันออกจำนวน 3 อุโมงค์ในด้านหน้า ซึ่งอุโมงค์กลาง (อุโมงค์ที่ 4) มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งสามารถเห็นได้ เพียง 3 อุโมงค์เท่านั้น คือ อุโมงค์ที่ 1, 2, และ 3 นอกเหนือจากนี้ไม่สามารถเห็นได้ อีกทั้งภาพหลักฐานจิตรกรรมฝาผนังในอุโมงค์มีสภาพลบเลือนไปมาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคคัดลอกจิตรกรรมด้วยมือและคอมพิวเตอร์ควบคู่กัน โดยการคัดลอกลายเส้น และการคัดลอกเป็นภาพสี จึงทำให้ยังสามารถเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ของศิลปะล้านนาซึ่งมีอายุกว่า 500 ปีได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม (ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://th.wikipedia.org)
ภาพแห่งความเชื่อความศรัทธา
อีกภาพหนึ่งแห่งความเชื่อความศรัทธา
หลังคาโปร่งแสงเพิ่มความสว่างภายในอุโมงค์
ช่องระบายอากาศด้านบนหลังอุโมงค์ เดินขึ้นบันไดไปจะเป็นเจดีย์โบราณอายุมากกว่า 700 ปี
เจดีย์วัดอุโมงค์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังระยะแรกของศิลปะล้านนาที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 19 ปรับปรุงมาจากเจดีย์ทรงระฆังแบบหนึ่งในศิลปะพุกาม ครั้นล่วงมาถึงช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 ต่อเนื่องกับต้นพุทธศตวรรษถัดมา เจดีย์ทรงนี้คลี่คลายไปโดยมีรูปทรงที่สูงโปร่ง และในช่วงเวลาของพุทธศตวรรษที่ 21 รูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังจึงมีการคลี่คลายปรับเปลี่ยนค่อนข้างรวดเร็ว เพราะได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ในศิลปะสุโขทัย อีกทั้งเป็นเจดีย์องค์สำคัญยุคต้นๆของพัฒนาการเจดีย์ทรงระฆังในศิลปะล้านนา (ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://th.wikipedia.org)
หลังคาของอุโมงค์ปูด้วยอิฐก้อนใหญ่
บันไดนาคทางขึ้นหลักไปนมัสการพระเจดีย์
เราเยี่ยมชมวัดอุโมงค์นานเป็นพิเศษ แต่ก็ยังเยี่ยมชมไม่ครบ เพราะนอกจากนี้วัดอุโมงค์ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีก เช่น เศียรพญานาค รูปพระโพธิสัตว์ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง โรงภาพปริศนาธรรม หอสมุดธรรมโฆษณ์ และพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น คงต้องไปกันอีกสักครั้งในโอกาสต่อไป ถึงที่พักเวลา 17.40 น. พรุ่งนี้ยังมีเรื่องราวเด็ด ๆ รออยู่ใน ไหว้พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ 3 จังหวัด ตอนที่ 3 ..ครับ
ขอบคุณ : 1) http://www.fca16.com 2) http://www.watumong.org
3) 4) https://th.wikipedia.org
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น