ชี้ช่องมองการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ท่ามกลางของความวิตกกังวลของผู้คนเกี่ยวกับคุณภาพของเด็กไทย โดยเน้นไปที่ผู้เรียนระดับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี (ป.1- ม.3) ที่เป็นส่วน “ฐานราก” ของการศึกษาไทย ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนในแง่มุมต่าง ๆ
ต่อเนื่องมาในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาและปัจจุบัน
ก่อให้เกิดคำถามจากผู้ที่รับผิดชอบทางด้านการศึกษาทุกระดับ
และผู้ที่อยู่นอกวงการศึกษา “ทำไม”
หรือ “เพราะเหตุใด” คุณภาพโดยรวมของผู้เรียนระดับขั้นพื้นฐานจึงมีพัฒนาการที่ด้อยลงและตกต่ำอย่างน่าใจหายเช่นนั้น จนกระทั่งนำไปสู่วาระแห่งการปฏิรูปการศึกษาระดับประเทศอีกคำรบหนึ่ง
จากประสบการณ์ที่ได้ทำงานอยู่กับแวดวงการศึกษามาตั้งแต่
“ยุคองค์การบริหารส่วนจังหวัด” (อจ.) “ยุคสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ”
(สปช.) และ “ยุคสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” (สพฐ.) แม้ปัจจุบันเป็นข้าราชการเกษียณแล้วก็ตาม แต่ด้วยจิตสำนึกที่อยากเห็นคุณภาพของผู้เรียน
และคุณภาพการศึกษาโดยรวม
มีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
จึงขอเสนอแนวความคิดและมุมมองเพื่อชี้ช่องมองการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้
ระดับคุณภาพการศึกษาไม่จำเป็นต้องเท่ากัน
การกำหนดนโยบายระดับคุณภาพการศึกษาที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากบริบทที่เป็นจริง
ทั้งนี้เนื่องจากในสภาพปัจจุบันเราจะมองเห็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจนว่า สถานศึกษาที่เปิดสอนในระดับการศึกษาภาคบังคับจะประกอบด้วย
3 กลุ่มสถานศึกษา กล่าวคือ 1) กลุ่มสถานศึกษาในเมือง 2) กลุ่มสถานศึกษากึ่งเมืองกึ่งชนบท และ 3)
กลุ่มสถานศึกษาในชนบทห่างไกล
*
กลุ่มสถานศึกษาในเมือง ได้แก่
สถานศึกษาของภาครัฐ และเอกชนที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวจังหวัด และ กทม. มีจำนวนสถานศึกษา และจำนวนนักเรียนในสัดส่วนที่มากถึงประมาณ 60 % ขึ้นไป เป็นเช่นนี้เพราะการมีถนนหนทางที่ดีกว่าในอดีต
รวมทั้งความเชื่อมั่นว่าที่ว่าสถานศึกษาในเมืองมีความเจริญทันสมัยและมีความพร้อมในทุกด้านมากกว่า
ปัญหาที่ติดตามมาก็คือการจราจรช่วงเช้าและเย็นในเมือง ผู้ปกครองและนักเรียนที่หลั่งไหลเข้าเมือง
มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เป็นต้น
* กลุ่มสถานศึกษากึ่งเมืองกึ่งชนบท ได้แก่ สถานศึกษาที่กระจายตัวอยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัด/อำเภอมากนัก
มีจำนวนสถานศึกษาและจำนวนนักเรียนในสัดส่วนที่น้อยลงประมาณ 30 % ในอดีตสถานศึกษาเหล่านี้ จะมีสัดส่วนจำนวนสถานศึกษาและจำนวนนักเรียนที่มากกว่านี้
(ประมาณ 50%) สถานศึกษาหลายแห่งต้องยุบตัวไปเพราะเหลือนักเรียนไม่กี่คน ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนของประชากรเด็กที่ลดลง
ผนวกกับการไหล่บ่าเข้าเมืองของนักเรียนส่วนหนึ่ง
ปัญหาที่ติดตามมาของสถานศึกษากลุ่มนี้ เช่น
การมีงบประมาณ(ค่าหัวของนักเรียน)ที่ลดลงการบริหารจัดการยากขึ้น ต้องจัดการเรียนการสอนแบบควบชั้น
ขวัญกำลังใจของผู้บริหารและครูค่อนข้างต่ำ เป็นต้น
* กลุ่มสถานศึกษาในชนบทห่างไกล ได้แก่ สถานศึกษาของภาครัฐและตำรวจตะเวนชายแดนที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัด/อำเภอ
การคมนาคมไม่สะดวก ทุรกันดาร หรือถูกเรียกว่าสถานศึกษาชายขอบ มีจำนวนสถานศึกษา และนักเรียนในสัดส่วนที่น้อยที่สุดประมาณ
10 % ความพร้อมในภาพรวมของการจัดการศึกษา
เช่น จำนวนผู้บริหาร/ครู อาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ฯ เรียกว่า “ ขาดแคลนน่าจะเหมาะสมกว่า ”
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า
“ จะอย่างไรก็ตามสถานศึกษาในกลุ่มที่ 2 และ 3
ก็ไม่อาจใช้ศักยภาพแห่งตนพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพทัดเทียมกับสถานศึกษากลุ่มที่ 1
ได้ ” ดังนั้นจึงขอสรุป เป็นข้อเสนอให้มีการกำหนดแนวปฏิบัติการพัฒนาและการประเมินคุณภาพการศึกษา
ของสถานศึกษาเป็น 3 รูปแบบตามกลุ่มสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาแต่ละกลุ่มจัดการศึกษาแข่งขันกับตัวเองและแข่งขันกับสถานศึกษาในกลุ่มเดียวกันอย่างมีความสุขต่อไป
.jpg)
คุณภาพของครูที่เราคาดหวัง
คุณภาพผู้บริหาร + คุณภาพผู้สอน + คุณภาพผู้เรียน = คุณภาพการศึกษา
ผู้ที่ปฏิบัติงาน และอยู่ใกล้ชิดกับนักเรียนมากที่สุดคือ
“ครูผู้สอน”
ฉะนั้นจึงทำให้ครูเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของนักเรียนมากที่สุด
ทำให้สังคมมองเห็นความสำคัญและคาดหวังต่อบทบาทของครูสูงมาก ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่คุณภาพการศึกษาถูกมองว่า
“ตกต่ำ” หรือ “ไม่น่าพอใจ”
ภาระหนักจึงตกอยู่ที่ครูผู้สอนในอันที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของตนเองให้สูงขึ้นและเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป
ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนให้ความสำคัญ
และเห็นด้วยที่ต้องดำเนินการปฏิรูปบุคลากรครูมากที่สุด เพราะเชื่อมั่นว่าบุคลากรครู คือ
ผู้ที่จะขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาได้ดีที่สุด จึงขอเสนอแนวความคิดและมุมมองเพื่อชี้ช่องมองคุณภาพของครูที่คาดหวัง
ดังนี้
* ครูต้องมีการเตรียมการสอน ต้องบอกก่อนว่า “
ไม่ใช่การเตรียมการสอนที่เป็นตัวหนังสือหรือเอกสารที่ต้องส่งผู้บริหาร ” แต่เป็นการเตรียมการสอนเชิงพฤติกรรมมากกว่า
โดยตั้งคำถามถามตัวเองใน 4 คำถามข้างล่าง แล้วคิดวางแผนพร้อมลงมือออกแบบการเรียนการสอน..บันทึกย่อ..(เก็บไว้เผื่อปรับใช้ได้ในโอกาสต่อๆไป..)
1.
เรื่อง....นี้เราจะจัดการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง
2.
มีอะไรเป็นตัวช่วยบ้าง เช่น สถานที่ สื่อวัสดุ/สื่อไอที ผู้รู้/วิทยากร ฯ
3.
กิจกรรมเสริมที่อาจมี เช่น การบ้าน การฝึกปฏิบัติจริง การทำรายงาน/การค้นคว้า ฯ
4.
จะประเมินผลการเรียนรู้อย่างไรบ้าง เช่น
ทดสอบย่อย ชิ้นงานต่าง ๆ ฯ
* ครูต้องสร้างตัวช่วยในการสอน สำหรับตัวช่วยในการสอนที่คิดว่าสามารถช่วยครูได้ดี
ทำแล้วใช้ได้นานไม่ต้องทำบ่อย ๆ ก็คือ ชุดการเรียนรู้
(บางวิชาอาจทำได้มากหรือน้อยไม่เท่ากัน)
“ ชุดการเรียนรู้เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่สะท้อนต้นทุนความรู้ความสามารถของครู
อาชีพครูอยู่เฉยไม่ได้ต้องใฝ่หาต้นทุนไว้ตลอดเวลา..” หน้าตาของชุดการเรียนรู้ก็จะคล้าย ๆ กับใบความรู้ หรือชุดความรู้
หรือชุดการสอนที่เราคุ้นเคยกัน เพียงแต่อยากเรียกชื่อใหม่ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เพราะสอดคล้องกับชื่อที่ใช้สำหรับนักเรียนได้เรียนรู้ การออกแบบชุดการเรียนรู้ทำได้ทั้งแบบรายคน
และแบบกลุ่ม ส่วนรูปแบบของชุดการเรียนรู้อาจเป็น เอกสาร , PowerPoint
, VDO , Blog เป็นต้น
* ครูต้องวิจัยเป็น จะให้ครูมีความรู้ความสามารถในการวิจัยทำได้อย่างไร
ช่างเป็นคำถามที่หนักใจพอสมควร เพราะจำนวนครูที่ไม่กลัวการวิจัยมีค่อนข้างน้อยมาก
ทางออกที่เหมาะสมของเรื่องนี้น่าจะเป็นอย่างไร
จึงขอเสนอแนวความคิดและมุมมองเพื่อชี้ช่องช่วยให้ครูวิจัยเป็น ดังนี้
1) สถาบันการศึกษาที่ทำหน้าที่ผลิตครู ควรพิจารณาให้ความสำคัญในการวิจัยการศึกษา
โดยเพิ่มวิชาวิจัยการศึกษาให้นักศึกษาครูได้เรียนรู้ และฝึกปฏิบัติ
(การวิจัยที่จำเป็นมาก ๆสำหรับครู คือ การวิจัยปฏิบัติการ)
ซึ่งน่าจะช่วยให้นักศึกษาครูเห็นประโยชน์ของการทำวิจัยที่มุ่งแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน
และพัฒนาการศึกษาโดยรวมอีกด้วย กรณีนี้หากเป็นไปได้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยกันสร้าง
“ครูนักวิจัย” ให้มากขึ้นได้อีกทางหนึ่ง
2) หน่วยงานด้านการศึกษาที่ดูแลบุคลากรครูทุกระดับ
ต้องมีแนวทางการปฏิบัติที่จะส่งเสริมให้ครูใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ
(นวัตกรรมทางการศึกษา)
ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น
การสนับสนุนทุนวิจัย
การประกวดผลงานการวิจัยระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ เป็นต้น
3) ครูต้องเป็นผู้นำการวิจัยระดับชั้นเรียน
อธิบายความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัยให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจอย่างง่าย
ๆ (ผู้เรียนจะได้คุ้นเคยกับคำว่า “วิจัย”
ตั้งแต่เด็ก ๆ ) การถ่ายทอดการวิจัยของครูควรใช้ “เทคนิคพาทำ” ในช่วงแรก ๆ
ครูและผู้เรียนจะร่วมมือกันวิจัย และเรียนรู้ผลการวิจัยไปพร้อม ๆ กัน บางเรื่องครูไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อน...รู้พร้อมกับผู้เรียนก็ไม่เสียหายอะไร ดีเสียอีกที่ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น
...แต่มีข้อแม้ประการหนึ่ง กล่าวคือ
การวิจัยระดับนี้..ไม่ควรเน้นระเบียบวิธีการวิจัยด้านเอกสารมากนัก..ควรเน้นที่สาระสำคัญ
ๆ และผลการวิจัยมากกว่าจะทำให้การวิจัยไม่ดูน่าเบื่อ..ครับ
หากเรามีบุคลากรครูที่วิจัยเป็น ถ่ายทอดการวิจัยให้ผู้เรียนทีละขั้นทีละตอน
ไม่ใจร้อน และจัดสรรโอกาสในการฝึกฝนให้ผู้เรียน รวมทั้งให้กำลังใจ และกระตุ้นให้เป็นนักคิดวิเคราะห์บ่อย
ๆ ในอนาคตเราน่าจะได้ “นักวิจัยเด็ก” ที่จะเติบโตเป็นนักวิจัยผู้ใหญ่รับใช้สังคมและบ้านเมืองมากขึ้นในที่สุด
ขอบคุณ : 1) ภาพนักเรียนจาก http://www.vcharkarn.com
2) ภาพครูและนักเรียนจาก http://loadebookstogo.blogspot.com
2) ภาพครูและนักเรียนจาก http://loadebookstogo.blogspot.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น