“บุหรงช้าง” และ “บุหรงดอกทู่” .....พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก


ภาพบุหรงช้าง (ซ้าย) .......ภาพบุหรงดอกทู่ (ขวา) พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก 

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ค้นพบ บุหรงช้างและบุหรงดอกทู่...พรรณไม้ในสกุลบุหรงชนิดใหม่ของโลก พร้อมต่อยอดงานวิจัยด้านขยายพันธุ์ และหาแนวทางการใช้ประโยชน์ทางเภสัชกรรม เพื่ออนุรักษ์พรรณไม้อย่างยั่งยืน 

นายอนันต์ รุ่งพรทวีวัฒน์ รองผู้ว่าการกลุ่มพัฒนาธุรกิจและการตลาด วว. ชี้แจงว่า ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. ประสบความสำเร็จในการค้นพบและตั้งชื่อบุหรงชนิดใหม่ของโลก 2 ชนิด ได้แก่ บุหรงช้างและบุหรงดอกทู่ โดยพรรณไม้ทั้ง 2 ชนิด ได้มีการตรวจสอบการตั้งชื่อและนำไปตีพิมพ์รายงานในวารสาร Systematic Botany ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 หน้า 252-265 ประจำปี 2552 ทั้งนี้วารสารดังกล่าวเป็นวารสารการจำแนกพรรณไม้นานาชาติที่ออกในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยต้นแบบของตัวอย่างแห้ง (Type specimen) ของทั้งบุหรงช้างและบุหรงดอกทู่ได้มีการเก็บไว้ที่หอพรรณไม้ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (BKF) นับเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย

ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. ชี้แจงเพิ่มเติมว่า บุหรงช้าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Dasymaschalon grandiflorum Jing Wang, Chalermglin & R.M.K. Saunders  สำรวจพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 ในป่าดิบชื้นของอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ที่ระดับความสูง 300-500 เมตร ลักษณะพิเศษของบุหรงช้าง คือ เป็นบุหรงเพียงชนิดเดียวที่เป็นเถาเลื้อย (บุหรงชนิดอื่นทั้งหมดเป็นไม้พุ่ม) และมีดอกและผลขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลบุหรง เถาเลื้อยไปได้ไกลถึง 15 เมตร เถามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร แผ่นใบรูปไข่กลับหรือรูปขอบขนาน กว้าง 6-8 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร เนื้อใบหนา เรียบ ด้านบนใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาวเคลือบ มีเส้นแขนงใบ 11-16 คู่ ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ดอกออกตามเถาแก่ ก้านดอกยาว 8.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบแยกจากกัน รูปกลมขนาด 6-7.5 มิลลิเมตร กลีบดอก 3 กลีบ กว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 17 เซนติเมตร  ขอบกลีบบรรจบกันเป็นแท่งสามเหลี่ยมคล้ายเหล็กขูดชาร์ฟ  ตอนปลายกลีบบิดเป็นเกลียว   ผลกลุ่ม ก้านผลรวมยาว 8-10 เซนติเมตร มีผลย่อย 5-10 ผล แต่ละผลรูปทรงกระบอกยาว 3-6 เซนติเมตร เมื่อแก่มีสีแดงเข้ม มี 3-6 เมล็ด ผลมีรอยคอดตามเมล็ด แต่ละเมล็ดกลม สีเหลืองอ่อน ออกดอกบานในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ผลแก่ในเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน

สำหรับ บุหรงดอกทู่ มีการสำรวจพบมานานหลายปี พบในป่าดิบเขาของอำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ที่ระดับความสูง 800-1,600 เมตร มีชื่อวิทยาศาสตร์ Dasymaschalon obtusipetalum Jing Wang, Chalermglin and R.M.K. Saunders ลักษณะพิเศษของบุหรงดอกทู่ เป็นไม้พุ่ม สูง 4-6 เมตร ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 12-17 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ด้านบนใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาวเคลือบ มีเส้นแขนงใบ 8-14 คู่ ก้านใบยาว 5-7 มิลลิเมตร ดอกออกที่ปลายยอด ก้านดอกยาว 4.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ แยกจากกัน รูปกลมขนาด 2-4 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 3 กลีบ กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ขอบกลีบบรรจบกันเป็นแท่งสามเหลี่ยม ตอนปลายดอกทู่และไม่บิด ผลกลุ่ม ก้านผลรวมยาว 4.5-6 เซนติเมตร มีผลย่อย 9-14 ผล แต่ละผลรูปทรงกระบอก ยาว 2.5-6.5 เซนติเมตร เมื่อแก่มีสีแดงเข้ม มี 1-4 เมล็ด ผลมีรอยคอดตามเมล็ด แต่ละเมล็ดกลมรี สีเหลืองอ่อน ออกดอกบานในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ผลแก่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม



 บุหรงแดง ......  www.bloggang.com 


บุหรง เป็นกลุ่มของพรรณไม้สกุลหนึ่งในวงศ์ กระดังงา ที่เรียกว่า สกุลบุหรง มีอยู่ทั่วโลกรวมทั้งหมด ๓๐ ชนิด แต่มีอยู่ในประเทศไทย ๑๒ ชนิด ได้แก่ บุหรงช้าง บุหรงสุเทพ บุหรงดอกแหลม บุหรงดอกทู่ บุหรงใบเรียว บุหรงภูหลวง บุหรงก้านยาว บุหรงก้านขน บุหรงใบนวล โปร่งกิ่ว ติ่งฟ้า 

ส่วนบุหรงที่มีความสวยงามน่ารัก นั้นเป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันว่า Dasymaschalon dasymaschalum ซึ่งในสมัยก่อนเคยมีชื่อว่า Dasymaschalon blumei โดยจะเรียกพรรณไม้ชนิดนี้ว่า บุหรง หรือ บุหรงก้านเรียบ ก็ได้ เนื่องจากตามกิ่งยอด ก้านใบและก้านดอกเรียบไม่มีขน

บุหรงเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะแตกกิ่งเป็นพุ่มมีความสูง ๑-๒ เมตร แต่ก็อาจจะมีบางต้นที่เจริญเติบโตสูงขึ้นไปได้ถึง ๔ เมตร แล้วก็มีเสน่ห์ตรงที่ด้านบนของใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างของใบมีนวลสีขาว หรือสีขาวอมฟ้าเคลือบอยู่  



บุหรง.......treeofthai.com 


สิ่งที่ทำให้บุหรงนี้มีความสวยงามน่ารัก ก็คือส่วนของดอกที่มีกลีบดอกเพียง ๓ กลีบ ประกบกันเป็นแท่ง ๓ เหลี่ยม คล้ายเหล็กขูดชาร์ฟ บางดอกอาจจะเป็นแท่งตรงๆ บางดอกอาจจะเป็นแท่งบิดเบี้ยว แล้วบางดอกก็จะเป็นแท่งปลายเรียวแหลม บิดเป็นเกลียวน่าทึ่ง น่าพิศวงมาก

แต่ที่น่ารักก็คือ มีสีสันแตกต่างกันออกไปมากมาย จะเรียกว่า “หลากหลายพันธุ์” ก็ได้ และที่พิเศษก็คือ ในต้นเดียวกันมีดอกรูปร่างหลายแบบ มีสีสันต่างๆ กัน ช่างน่ารัก เหมาะสมที่จะนำมาปลูกเป็นไม้กระถางไว้ประดับบ้าน ประดับสำนักงาน ออกดอกให้เชยชมได้ตลอดปี ในช่วงดอกตูม กลีบดอกมีสีเขียว พอดอกใหญ่ขึ้นและเริ่มบาน จะมีสีขาว ขาวนวล เหลือง ชมพู ส้ม แสด แดง ม่วง ม่วงแดง และม่วงอมดำแต่ละดอกจะโชว์ความสวยงามอยู่ได้หลายวัน 

เมื่อดอกบุหรงบาน กลีบดอกจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น กลีบหนามากขึ้น แต่กลีบดอกจะไม่บานแยกออกจากกันเป็นกลีบๆ เฉกเช่นดอกไม้ทั่วไป แต่ก็ยังคงประกบกันอยู่เหมือนเดิม อาจจะเรียกว่า “บานแบบไม่บาน” และเมื่อใกล้โรย กลีบดอกจะเหี่ยวและหลุดร่วงลงสู่โคนต้นพร้อมกันทั้งหมด เห็นเป็นแท่งๆ อยู่โคนต้น 


บุหรง......https://www.gotoknow.org 


ท่านคงทึ่งและติดใจบุหรงแล้วใช่ไหมล่ะ ท่านทราบหรือไม่ว่าบุหรงเป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหอม เข้าทำนองคล้ายๆ กับที่คนโบราณกล่าวว่า “สวยแต่รูป จูบไม่หอม” ดังนั้นต่อไปนี้จะต้องมีการปรับปรุงพันธุ์ให้ดอกมีกลิ่นหอมด้วย   
     
บุหรงเป็นพรรณไม้ที่มีการนำมาใช้ประโยชน์เป็นพืชสมุนไพรด้วย ขณะนี้มีคณะวิทยาศาสตร์ในหลายมหาวิทยาลัยกำลังทำการศึกษาการสกัดได้สารสำคัญมากมาย ดังเช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ซึ่งจะมีความร่วมมือในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ประโยชน์ต่อไป ดังนั้นในอนาคตบุหรงน่ารัก ก็จะยิ่งมีความน่ารักมากยิ่งขึ้น 





ขอบคุณ  :  1)  http://www.most.go.th 

              2)  http://www.doctor.or.th

              3)  http://www.bloggang.com

              4)  http://www.treeofthai.com

              5)  https://www.gotoknow.org 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม ต.บ้านด่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

หลวงพ่อกล่อม พรมสโร วัดป่ากะพี้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

ต่อหัวเสือ...ไม่ร้ายอย่างเสือ