บันทึกการพบที่ตั้งเมืองโบราณกว่า 250 ปี ณ บึงทุ่งกะโล่ ตอนที่ 1
ย้อนหลังไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2553 และปัจุบันก็ปลายเดือนพฤษภาคม 2558 รวมเวลา 5 ปีเต็ม ๆ กับเหตุการณ์ เรื่องราว และข่าวคราวการพบที่ตั้งเมืองโบราณกว่า 250 ปี ณ บึงทุ่งกะโล่ ต้องยอมรับว่า ณ วันนี้ บึงทุ่งกะโล่ที่เดิมเป็นพื้นที่ชุมน้ำขนาดใหญ่ กำลังมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยตื้นเขินมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงใจกลางแห่งบึงทุ่งกะโล่..เข้าถึงได้ง่ายขึ้น จากสภาพทางภูมิศาสตร์ได้ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องช่วยกันบันทึกเนื้อหาสาระของเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นเอาไว้ เพื่อการเรียนรู้สำหรับผู้สนใจต่อไป
บึงทุ่งกะโล่ ภาพจาก www.utdhome.com |
บึงกะโล่ หรือ บึงทุ่งกะโล่ เป็นแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่เพื่อการเกษตรของจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณประโยชน์ทางทิศตะวันออกของเมืองอุตรดิตถ์(ฝั่งซ้ายของแม่น้ำน่าน) อยู่ในเขตตำบลป่าเซ่า และบางส่วนของตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ห่างจากทางหลวงหมายเลข 11 ประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่รวมกว่า 7,500 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีพื้นที่เก็บกักน้ำถูกขุดลอกเพื่อใช้ในภาคการเกษตรและอุปโภคบริโภค การพัฒนาเมืองอุตรดิตถ์ในช่วง 50-60 ปี ที่ผ่านมา
เน้นการเจริญเติบโตของชุมชนเมืองฝั่งทิศตะวันตกมากกว่าทางฝั่งตะวันออก ทำให้ฝั่งตะวันออกอยู่ในรูปแบบวิถีเรียบง่ายอย่างไทยๆ ที่คงมีเรื่องราวเล่าขานของ เสือ กวาง ช้าง ป่าโบราณ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยมีเมื่อ 60
กว่าปีก่อน ก่อนจะค่อย ๆ หายไปในช่วงหลังที่มีทางหลวงหมายเลข 11 ตัดผ่าน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านและชุมชนมากขึ้นตามลำดับ
ตำนานบึงทุ่งกะโล่
ปู่ย่ามักมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับตำนานทุ่งกะโล่มากมาย
เช่น ตำนานปู่โสม ตำนานป่าไผ่หลวง
แต่ทั้งหมดได้สูญไปจากวิถีชีวิตหมดแล้ว จากการถางที่ทำไร่นาในช่วงหลังเหลืออยู่เพียงตำนานเมืองล่มทุ่งกะโล่ เพียงเรื่องเดียว ที่ยังคงถูกเล่าอยู่ และยังไม่ได้ถูกทำลายหรือพิสูจน์ทราบ
เป็นมนต์ขลังที่ยังคงไม่เสื่อมคลายไปจากวิถีสำนึกของคนแถบคนลุ่มน้ำน่านฝั่งตะวันออก
“ทุ่งกะโล่ หรือ บึงกะโล่
อันกว้างใหญ่ไพศาล ในอดีตกาลนั้น เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณอันรุ่งเรือง แต่แล้วเมื่อใดไม่ปรากฏ เมืองแห่งนี้ก็ได้ล่มจมหายสาบสูญไปจากพื้นพิภพ กลายเป็นหนองปลักอ้อกอไม้น้ำหรือผักตบชวาที่รู้จักกันดีนั้นเองปรากฏนามขานในปัจจุบันว่า
บึงทุ่งกะโล่สืบมา ”
นอกจากตำนานแล้วยังมีคำปากคำเล่า สืบความที่ประสบมาว่า
อันทุ่งกะโล่นั้น
มีอาถรรพ์ลี้ลับซ่อนอยู่
จะด้วยฤทธิ์เจ้าพ่อกะโล่ หรือฤทธิ์เมืองร้างโบราณอันลึกลับ
ผู้กระทำหยามเหยียดรบกวนอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะมีอันเป็นไปชาวบ้านไร่น่าแถบนั้น
มักเล่ากันว่า กลางทุ่งกะโล่ มีอัศจรรย์แปลกๆ ขึ้นบ่อยครั้ง เวลากลางดึกวันพระวันโกน มักมีแสงไฟประหนึ่งพลุ
สว่างพุ่งออกมาจากหนองกออ้อกลางบึงด้วยตำนานเล่าขานและเรื่องราวอัศจรรย์แปลกๆ
ที่คนรุ่นนี้ได้พบกับตน
บึงทุ่งกะโล่ จึงเป็นสถานที่อาถรรพ์แห่งหนึ่งที่มีเสน่ห์แห่งความ
“ลึกลับ” อันน่าสนใจยิ่ง
![]() |
ส่วนหนึ่งของบึงทุ่งกะโล่ที่ถูกไฟไหม้ ภาพจาก https://www.gotoknow.org |
การพบที่ตั้งเมืองโบราณ
ในปี
พ.ศ.2553 เป็นที่แห้งแล้งที่สุดปีหนึ่งในรอบสิบปีของประเทศไทย บึงทุ่งกะโล่ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และเกิดไฟไหม้ใหญ่ ซึ่งคาดว่าเป็นไฟที่จุดโดยชาวบ้านริมบึง ทำให้ต้นกกอ้อที่สูงกว่า 3-4 เมตร สูงท่วมช่วงสองช่วงคน ต้นกกอ้อ
เคยที่เขียวขจีเสมอมา เป็นแหล่งพึ่งพิงของสัตว์ทั้งหลาย
และเอกลักษณ์สำคัญของบึงกะโล่แห่งนี้และที่สำคัญ ต้นกกอ้อที่เก็บงำตำนานเล่าขานอาถรรพ์ไว้ภายใน
สถานที่ไม่เคยมีคนย่างกรายเข้าไปภายในมานับร้อยๆ ปี ถูกไฟไหม้ลามหมดทั้งอาณาเขตกลางบึงกว่า 7,000 ไร่ กลายเป็นบึงร้างที่เต็มไปด้วยซากกกอ้อ กอไม้
ฝุ่นผงสูงท่วมหัวเข่า
และซากเต่าซากสัตว์น้ำมากมายที่ถูกตายในกองเพลิง เป็นมหาวิบัติที่ร้ายแรงครั้งหนึ่งของบึงกะโล่แห่งนี้ ที่ทำลายสวรรค์ของสรรพสัตว์จนสิ้นซาก และปิดฉากตำนานแหล่งดูนกน้ำสำคัญของเมืองอุตรดิตถ์ไปโดยปริยาย กลายเป็นพื้นดินแห้งผาก
แตกระแหง ที่กินอาณาบริเวณกว่า 7,000 ไร่
![]() |
ส่วนหนึ่งของบึงทุ่งกะโล่ที่ถูกไฟไหม้ ภาพจาก https://www.gotoknow.org ![]() แผนผังแสดง "กลุ่มเสา" ภาพจาก https://www.gotoknow.org |
![]() |
ลุงผู้เลี้ยงวัว |




นักโบราณคดีพิสูจน์เครื่องปั้นดิน เผาบึงกะโล่
3 มิ.ย.53 นักโบราณคดีลงพื้นที่อุตรดิตถ์ตรวจพิสูจน์เครื่องปั้นดินเผาเก็บจากบึงกะโล่ นับพันชิ้น คาดอยู่ในสมัยอยุธยาเจริญรุ่งเรืองและสมัยราชวงศ์ฉิน สันนิษฐานพื้นที่บึงแห่งนี้คงเป็นเมืองท่ามาก่อน นางสายรุ้ง ธาราจันทร์ วัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อม น.ส.ธัตติยา ไชยวงศ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 6 จ.สุโขทัย นำคณะลงพื้นที่หมู่ 7 ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ หลังจากชาวบ้านช่วยกันรวบรวมเครื่องปั้นดินเผาไว้ได้กว่า 1,000 ชิ้น


ชาวเมืองอุตรดิตถ์ค้าน
กรมศิลป์ยึดของโบราณ
26 มิ.ย.53 พระณรงค์ชัย ปัญญาพโล
รักษาการเจ้าอาวาสวัดทุ่งเศรษฐี หมู่ 7 ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า หลังจากชาวบ้านค้นพบวัตถุโบราณ
เครื่องใช้ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา หม้อดินหลากหลายขนาด เตาเชิงกราน อาวุธปืนโบราณ
และเครื่องสัมฤทธิ์ อายุ 200-400 ปี
อยู่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องกรุงรัตนโกสินทร์ ที่บริเวณบึงกะโล่ ต.ป่าเซ่า
ชาวบ้านนำมารักษาไว้ที่วัดทุ่งเศรษฐี
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร จ.สุโขทัย ที่ทราบข่าว
ได้เข้ามาทำการตรวจสอบวัตถุโบราณที่ค้นพบแล้ว พร้อมทั้งจะขอนำไปตรวจสอบ
เพื่อขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องอีกครั้ง แต่ประชาชนและกรรมการวัดทุ่งเศรษฐีไม่ยินยอม ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรอ้างว่าหากไม่ยอมจะมีความผิด ทางวัดจึงไปหารือกับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา
จ.อุตรดิตถ์ ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่ผิดกฎหมาย
ชาวบ้านจึงร่วมกันล่ารายชื่อเพื่อขอคัดค้านไม่ให้กรมศิลปากรนำไปจากวัด
นายถมยา
สุวรรณทา กรรมการวัดทุ่งเศรษฐี กล่าวว่า
ทุกวันนี้ชาวบ้านได้จัดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังบุคคลภายนอกที่อาจแฝงตัวมากับประชาชนที่มาดูวัตถุโบราณมาขโมยของมีค่าภายในวัดกันเอง
และมีมติแล้วว่า จะไม่นำของโบราณทั้งหมดมอบให้กับกรมศิลปากร หากต้องการมาตรวจหรือขึ้นทะเบียนก็มีดำเนินการที่วัด
ห้ามนำสิ่งของออกจากวัดไป
นอกจากนี้ชาวบ้านจะทำการสมทบทุนและขอบริจาคเงินจากบุคคลภายนอก
เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอุตรดิตถ์อีกแห่งหนึ่ง
ขอบคุณ
: 1) http://th.wikipedia.org
2) https://www.gotoknow.org
3)
http://industrial.uru.ac.th
4)
http://sunflower08-sunflower08.blogspot.com
5) http://www.manager.co.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น