ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก ตอนที่ 1
สวัสดีครับพบกันครั้งนี้เราอยากจะนำเสนอประวัติของพระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย และของจังหวัดอุตรดิตถ์ท่านหนึ่ง ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศไทย และต่อคนไทย ได้รับการยกย่องให้เป็นวีระบุรุษแห่งสงครามกู้อิสระภาพ อีกทั้งสงครามการป้องกันประเทศในสมัยกรุงธนบุรี แต่เนื่องจากประวัติของท่านที่เราจะนำเสนอนี้ เรียบเรียงโดย พระยาศรีสัชนาลัยบดี (เลี้ยง ศิลิปาลกะ) อดีตผู้ว่าราชการเมืองสวรรคโลก และผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยท่านแรก เรียบเรียงไว้เมื่อ พ.ศ. 2462 มีเนื้อหาสาระที่ค่อนข้างละเอียดมาก จึงต้องแบ่งการนำเสนอเป็น 2 ตอนด้วยกันครับ
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งไม่ปรากฏชื่อ
ตั้งบ้านเรือนทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีพอยู่ ณ บ้านห้วยคา หลังเมืองพิชัยฝ่ายตะวันออกราวร้อยเส้นเศษ
มีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่เป็นไข้ทรพิษตายคราวเดียวกัน 3 คน เหลือ 1 คน
เป็นชายอายุได้ 8 ปี บิดาให้เลี้ยงควาย
นิสัยใจคอนายจ้อยองอาจกล้าหาญชอบการชกมวยยิ่งนัก
เกิดวิวาทชกต่อยกับเด็กเลี้ยงควายด้วยกัน จนหน้าตาฟกบวมมาเนื่องๆ
บิดาจะให้ไปอยู่วัดเรียนหนังสือ
ชั้นต้นขัดขืนไม่ยอมไปท่าเดียวบอกว่าถ้าให้เรียนเป็นนักมวยไม่ว่าที่ไหนใกล้หรือไกลก็ไปทั้งนั้น
บิดาจึงชี้แจงว่า
“ไม่ว่าวิชาสิ่งใดทั้งหมดมีอยู่ในหนังสือทั้งสิ้น
เจ้าชอบเรียนการชกมวยบิดาก็ไม่ขัดขืนตามใจเจ้า
แต่เจ้าไม่เรียนหนังสือเสียก่อนจะเรียนการมวยทีเดียว กว่าจะเป็นผลสำเร็จนานปีนัก
เพราะครูเขาคงไม่มาตั้งท่าสอนให้เจ้าได้ยังค่ำๆหรอก
เขาสอนเวลาวันละครั้งอย่างมากก็สองครั้งเท่านั้น
แล้วเขาก็ให้เจ้าดูตำราในหนังสือซึ่งบอกท่าเตะชกปัดปิดเอาเองบ้าง
ก็ถ้าไม่รู้หนังสือดูตำราไม่ออก จะอาศัยนึกเดาเอาเช่นนั้น ถึงจะสำเร็จก็ไม่ดีได้
เชื่อพ่อเถอะ”
เมื่อนายจ้อยได้ฟังบิดาพูดดังนั้น
โดยความอยากเป็นนักมวยนั้นเอง จึงเกิดความรักหนังสือขึ้น ยอมรับจะไปอยู่วัดทันที
บิดาจึงนำตัวไปฝากท่านพระครูวัดมหาธาตุในเมืองพิชัยตั้งแต่นั้นมา
นายจ้อยก็อุตส่าห์เล่าเรียนหนังสือต่อมาจนอายุย่างเข้า 14 ปี
นับว่านายจ้อยเป็นคนรู้หนังสือดีในสมัยนั้น คือ อ่านออกเขียนได้
ในระหว่างที่จ้อยเรียนหนังสืออยู่นั้น
ถ้าสิ้นเวลาเรียนและว่างการปฏิบัติอาจารย์แล้วฝึกหัดตนดังนี้ คือตัดเอาต้นกล้วยยาว
2 ศอกเศษมาตั้งกับดิน เอาเท้าเตะต้นกล้วยทั้งซ้ายขวาเตะประคองไว้เช่นนั้นเสมอมา
จนต้นกล้วยไม่ล้มลงได้ แล้วหัดเตะข้ามต้นกล้วย ชั้นต้นใช้สูงเพียง 3 ศอก
เตะข้ามไปข้ามมาจนแคล่วคล่องมิให้ถูกต้นกล้วยล้มเลย จึงทวีให้สูงขึ้นไปจนถึง 4 ศอก
เตะข้ามได้ทั้งซ้ายและขวา มิได้ถูกต้นกล้วยล้มเลย
อีกอย่างหนึ่งเอาผลมะนาวผูกเชือกห้อยเสมอหน้าใบละเส้น ชั้นต้นใช้แต่ 2ใบ ชกมะนาวให้แกว่างไปมาทั้ง
2ใบ แล้วปิดรับด้วยศอกและแขนจนไม่ถูหน้าได้แล้วเลื่อนเป็น 3ใบ ถึง 4ใบ นายจ้อยปิดรับได้หมดไม่ถูกหน้าเลย
ถ้าถึงกำหนดเจ้าเมืองกรมการ
มาถือน้ำพระพิพัฒสัตยาที่วัด เขามีมวยฉลองทุกคราวตามความนิยมในสมัยนั้น
เป็นสิ่งชอบใจของนายจ้อยยิ่งนักเป็นต้องแทรกเข้าไปอยู่ในเส้นเชือกที่ขึงจนได้ทุกคราวไป
ตั้งอกตั้งใจดูและจำเชิงมวยที่ต่อยกันแทบจะไม่กระพริบตา
นายจ้อยชอบมวยบ้านท่าเสานักถึงกับปรารภว่า
ถ้าเป็นหนุ่มแล้วจะพยายามไปขอหัดมวยกับครูที่ท่าเสาให้จงได้
อนึ่ง
เมื่อนายจ้อยมาอยู่วัดใหม่ๆ เวลากินข้าวถ้ามีแกงดีๆ
ถูกพวกเด็กแก่วัดเล่นแกงเหาะคือยกชามแกงชิ้นและซดน้ำ แล้วส่งให้เพื่อนต่อๆ กันไป
จนแกงหมดจึงวางชามลงมิได้ให้นายจ้อยได้กิน
ทำเช่นนี้เนื่องๆมานายจ้อยเหลือที่จะอดกลั้น
จึงลุกขึ้นเตะหน้าเด็กซึ่งกำลังซดน้ำแกงอยู่หงายหลังลงไปน้ำแกงรดหน้าเข้าตาร้องเอ๊ดตะโร
ตั้งแต่นั้นมาเด็กเหล่านั้นกับนายจ้อยก็เป็นอริชกต่อยกันมาเสมอ
แต่นายจ้อยปราบเสียเรียบไม่มีใครต่อสู้ได้เลย
อยู่มาเจ้าเมืองพิชัยนำคุณเฉิดบุตรชาย
กับเด็กคนใช้ของคุณเฉิด 3 คน มาฝากพระครูเพื่อเรียนหนังสือ
ฝ่ายเด็กวัดที่เป็นอริกับจ้อยก็พากัน ไปฝากตัวต่อคุณฉิด
เพราะบุตรเจ้าเมืองในสมัยนั้นมีอำนาจวาสนามาก นายจ้อยก็เข้าไปฝากตัวด้วยเหมือนกัน
แต่คุณเฉิดทนเด็กอื่นๆยุยงไม่ไหวเช่นว่า
นายจ้อยเป็นนักเลงโตไม่กลัวใครทั้งหมดบรรดาศิษย์ในวัด
ถึงตัวคุณเฉิดเองนายจ้อยก็ไม่กลัวเพียงเกรงนิดๆ ด้วยเป็นบุตรเจ้าเมืองเท่านั้น เมื่อคุณเฉิดได้ฟังคำยุยงเช่นนั้น
ด้วยเป็นเด็กความคิดยังไม่รอบคอบจึงพูดว่า " ถ้ากระนั้นเราช่วยกันรุมล่อมันให้ถึงต้องกินเลือดแรดเสียสักคราวเดียวก็คงเข็ด " จึงให้เด็กผู้หนึ่งในพวกเป็นอริกับนายจ้อย ไปท้านายจ้อยให้ไปชกกันทีหลังวัด
คุณเฉิดรับรอบเป็นคนกลางมิให้ใครช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เป็นอันขาด
นายจ้อยหลงเชื่อจึงพากันออกไปที่หลังวัดเข้าต่อสู้กันประเดี๊ยวเดียว
นายจ้อยก็ชกเตะเอาเด็กผู้นั้นล้มฟุบลงไปอยู่กับเดิน
นายจ้อยโดดเข้าถองซ้ำอีกทีหนึ่ง
คุณเฉิดก็ทะลึ่งเข้าผลักนายจ้อยกระเด็นไปแล้วพูดว่า “ล้มแล้วซ้ำเช่นนี้ผิดระเบียบ พวกเราล่อมันให้อยู่มือเดี๊ยวนี้แหละ”
ฝ่ายพวกเด็กเหล่านั้นรวมถึง
5 คนด้วยกันก็กรูกันเข้าจะชกเตะนายจ้อยผู้เดียว
นายจ้อยเห็นท่าไม่เป็นการก็วิ่งหนึเข้าไปหาต้นพิกุลใหญ่ราว 12 กำมือ
ยืนหันหลังชิดกับต้นพิกุล มิให้เด็กเหล่านั้นเข้าหลังได้
เด็กเหล่านั้นก็ประดาหน้ากันเข้ามา ผู้ใดเหลื่อมเข้ามาเป็นถูกหมัด
หรือเท้าของนายจ้อยกระเด็นออกไปจนไม่มีใครรอติด
คุณเฉิดเห็นดังนั้นจึงตรงเข้าตบหน้านายจ้อยทีหนึ่งแล้วขู่ว่า
“เจ้าถือดีอย่างไรจึงชกเตะคนใช้ของข้า” แล้วก็ต่อยเตะนายจ้อยอีก
นายจ้อยมิได้ต่อสู้เป็นแต่คอยปิ่ดหมัดปัดเท้ามิให้ถูกหน้าตัวเท่านั้น
ยิ่งทำให้คุณเฉิดบันดาลโทสะมากขึ้นผลักนายจ้อยเซออกไปจนพ้นต้นพิกุล
พวกเด็กเหล่านั้นก็กรูเข้าข้างหลัง เตะถีบ นายจ้อยคะมำไปโดนเอาคุณเฉิดเต็มแรง
คุณเฉิดเลยร้องหาว่านายจ้อยชกเอา นายจ้อยตกใจผละออกได้ก็วิ่งหนีไปนอกวัด
พวกเด็กเหล่านั้นก็ตามกันวิ่งไล่เป็นพรวน แต่ไม่ยักทันด้วยจ้อยวิ่งเร็วนัก
โดยวิ่งวัวชนะมาหลายครั้งแล้ว
เมื่อนายจ้อยวิ่งหนีไปพ้นวัดแล้ว
คิดแค้นคุณเฉิดกับเด็กเหล่านั้นยิ่งนักเกือบจะกลับไปแก้แค้นให้ได้
เหตุได้สติรำพึงว่าถ้าเรากลับเข้าไปท่านพระครูคงจับเราเฆี่ยนป่นปี้เป็นแน่เพราะคุณเฉิดคงไปฟ้องเสียแล้วว่าเราชก
ถึงเราจะปฏิเสธบอกความตามสัตย์จริงคงไม่เอาตัวรอดได้เพราะเด็กเหล่านั้นเป็นพวกของคุณเฉิด
ก็จะยืนยันเข้าเป็นปี่เป็นกลองไป
ผลที่สุดเราต้องมีโทษฐานทำร้ายบุตรเจ้าเมืองและโทษก็ออกจะหนักเสียด้วย
ครั้นจะกลับไปบ้านก็เกรงบิดาจะส่งตัวไปให้เขาทำโทษ ไม่กล้าขัดขืนอำนาจเจ้าเมืองได้
นายจ้อยนั่งตริตรองเศร้าใจคิดจะไปอยู่กับครูมวยท่าเสา
แต่มาวิตกถึงการที่จะไปด้วยตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเลย
ทราบแต่ว่าอยู่เหนือขึ้นไปเท่านั้น
แต่มั่นใจว่าถ้าเดินเลาะตามลำน้ำบางโพธิ์ท่าอิฐไปคงไม่หลงทางแน่
จึงมานะกัดฟันออกเดินบ่ายหน้าขึ้นเหนือเลาะตามแม่น้ำไป มีผ้าพันกายไปผืนเดียวเท่านั้นไปวัดดินแดงก็ค่ำพอดี
จึงเข้าไปขอพระสงฆ์อาศัยนอน
แลโกหกว่าจะไปเยี่ยมอาที่บ้านเต่าไหหลงทางเสียจึงไปไม่ถึง ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน
พระสงฆ์ท่านให้ศิษย์หุงข้าวให้กิน รุ่งขึ้นนายจ้อยก็ลาเดินทางต่อไป ถึงวัดบ้านแก่งพอจวนค่ำอาศัยนอนที่วัดนั้นอีก
รุ่งเช้าขึ้นนายจ้อยเห็นชายอายุ 40 ปี พาเด็กรุ่นหนุ่มสี่คนมาที่ลานวัดฝึกหัดมวยกัน นายจ้อยดีใจนัก ก็เข้าไปนั่งดูจนเลิกการฝึกหัด จึงเข้าหาครูยกมือไหว้แล้วอ้อนวอนขอเป็นศิษย์หัดมวยด้วย ครูผู้นั้นชื่อเที่ยง จึงย้อนถามว่า “เอ็งชื่ออะไรมาแต่ไหน” นายจ้อยคิดเห็นว่า ถ้าบอกชื่อและที่อยู่โดยตรงจะไม่สู้ดี อาจทราบถึงบิดามารดาเข้าก็จะมาถามเอาตัวกลับไป จำเป็นต้องเปลียนชื่อและบอกที่อยู่เสียใหม่ จึงตอบว่า “ฉันชื่อทองดี บิดามารดาอยู่บ้านดินแดง ตั้งใจมาหาครูเพื่อขอความกรุณาช่วยฝึกหัดมวยให้ จึงหนีบิดามารดามา เพราะแกไม่ชอบให้หัดมวย เป็นความสัตย์ของฉันไม่ว่าสิ่งใดทั้งหมดฉันไม่รักเท่าการเป็นนักมวย” นายเที่ยงหัวเราะตอบรับจะสอนให้แลว่าจะอยู่วัดหรือจะไปอยู่บ้านด้วยกันก็ได้ไม่รังเกียจนายจ้อยผู้แปลงนามว่านายทองดียกมือขึ้นไหว้แสดงขอบคุณแล้วพูดว่า “ฉันขอไปอยู่บ้านครูด้วย ว่างการฝึกหัดมวยแล้ว จะช่วยครูตักน้ำตำข้าวไปตามกำลังที่จะทำได้” นายเที่ยงได้ฟังก็ชอบใจ จึงพาทายทองดีไปบ้านแล้วเล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็มิได้รังเกียจแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เวลาเช้านายเที่ยงพานายทองดีไปฝึกหัดมวยพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลายที่ลานวัดเสมอ ถ้าพ้นเวลาหัดมวยแล้วนายทองดีก็ช่วยนายเที่ยงตักน้ำ ตำข้าว และการเบ็ดเตล็ดโดยปราศจากรังเกียจนายทองดีอยู่ฝึกหัดมวยกับนายเที่ยงได้มาปีเศษ ก็ชำนิชำนาญคล่องแคล่วทุกท่าทุกทางนับเป็นที่หนึ่งดีกว่าศิษย์ทั้งหมดเป็นที่พอใจนายเที่ยงผู้เป็นอาจารย์มาก นายเที่ยงเรียกนายทองดีเติมสร้อยว่า “ทองดีฟันขาว” ชาวบ้านเลยเรียกสร้อยท้ายตามนายเที่ยง เพราะสมัยนั้น หรือคนในหมู่บ้านนั้นกินหมากจนฟันดำแต่นายทองดีฟันขาวผู้เดียว จึงได้ฉายาเช่นนั้น
ฝ่ายศิษย์สี่คน
เห็นนายทองดีฟันขาวเชียวชาญเพลงมวยดีกว่าตัว ก็เกิดอิจฉาริษยาขึ้นคอยพาลหาเรื่องด้วยประการทั้งปวง
ถึงกับจะกลุ้มรุมทำร้ายนายทองดีฟันขาวๆ
สู้สะกดใจไม่ได้โต้เถียงด้วยที่นายทองดีฟันขาวได้หวาดกลัวคนทั้งสี่จนนิดเดียวอาจจะประจนให้คนทั้งสี่พ่ายแพ้ด้วยฝีมือ
และกำลังตนผู้เดียวได้ แต่หากคนทั้ง 4 เป็นบุตรหลานของนายเที่ยง
ผู้เป็นอาจารย์จึงไม่ต้องการจะต่อสู้ด้วย
ฝ่ายคนทั้งสี่กลับมีใจกำเริบเข้าใจว่านายทองดีฟันขาวกลัวก็ยิ่งข่มเหงมากขึ้น
ถึงกับถ่มน้ำลายรดบ้าง เข้าผลักอกบ้าง
นายทองดีฟันขาวเหลือที่จะอดกลั้นความข่มเหงนั้นไว้ได้ จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น
ผลที่สุดคนทั้งสี่คนสู้นายทองดีฟันขาวไม่ได้ หน้าตาฟกบวมไปคนละโน 2 โน
แท้จริงนายทองดีฟันขาวรามือให้เสียด้วยซ้ำ โดยความเคารพและเกรงนายเที่ยงผู้เป็นอาจารย์หาไม่จะบอบช้ำยิ่งกว่านั้น
ฝ่ายคนทั้งสี่จึงพากันไปฟ้องนายเที่ยงหาว่านายทองดีฟันขาวชกเตะเอานายเที่ยงจะโกรธเพราะกระทำแก่ลูกหลานแกเช่นนั้น
แต่ไม่ยักโกรธกลับหัวเราะพูดว่า “คนๆเดียวจะข่มเหงคนสี่คนก่อนนั้นเหลือเชื่อ”
และแกก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนทั้งสี่ริษยานายทองดีฟันขาวโดยมีฝีมือมวยดีกว่าตัว
คงพาลหาเรื่องแก่นายทองดีฟันขาวก่อน จึงพูดต่อบทว่า
“เจ้าถึงสี่คนสู้เขาคนเดียวไม่ได้
จะมาร้องเอาแก้วอะไรอีก
ควรจะปกปิดความเจ็บของตัวอย่าให้ใครรู้มากไปอายเขาจะดีกว่า”
ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งสี่กับนายทองดีฟันขาวก็เป็นขมิ้นกับปูรมองหน้ากันไม่ติด
นายทองดีฟันขาวจึงมารำพึงว่า เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่มีความสุขอีก
ประการหนึ่งครูก็หมดท่าทางมวย ไม่มีจะสอนให้เราอีกแล้ว
จำเราจะไปให้ถึงท่าเสาตามความตั้งใจเดิมฝึกหัดมวยอีกต่อไป
แต่ยังหาเพื่อนเดินไม่ได้จึงรอเรื่อยมา วันหนึ่งได้ทราบว่าพระสงฆ์ที่วัดบ้านแก่ง
จะขึ้นไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์
นายทองดีฟันขาวจึงไปลานายเที่ยงผู้อาจารย์ไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์กับพระสงฆ์
นายเที่ยงมีความอาลัยมาก
แต่ครั้นจะขัดขืนก็ไม่มีเหตุที่ควรจึงจำเป็นอนุญาตให้ไปตามความประสงค์
นายทองดีฟันขาวไปพักอาศัยอยู่ในวัดวังเตาหม้อกับพระสงฆ์ที่ไปด้วยกัน
เมื่อไปนมัสการพระแท่นแล้ว พระสงฆ์จะกลับบ้านแก่ง
จึงฝากฝังนายทองดีฟันขาวไว้กับพระสงฆ์วัดนั้น เพราะนายทองดีฟันขาวยังไม่ขึ้นท่าเสา
จะรอดูงิ้ว ซึ่งจะเล่นที่ศาลเจ้าบางโพธิ์เสียก่อน
ครั้นถึงวันเล่นงิ้ว
นายทองดีฟันขาวก็ไปดูเห็นงิ้วเล่นหกคะเมนในท่าต่างๆ ก็ชอบใจตั้งสติจำเอาจริงๆ จังๆ
งิ้วเล่นอยู่ 7 วัน 7 คืน นายทองดีฟันขาวก็ไปดูทั้งกลางวันกลางคืนไม่เว้นเลย
พองิ้วเลิกแล้วนายทองดีฟันขาวก็หาไม้ราวไม้หลักกระโดดกระโจนในท่าต่างๆ
เหมือนงิ้วเล่นแต่ลำพังตนไม่มีใครสอน พระสงฆ์ในวัดเห็นดังนั้นก็หัวเราะเหมาเอาว่าเป็นเด็กมีสันดารซุกซน
นายทองดีฟันขาวพยายามฝึกมากว่า 6 เดือน จึงทำได้คล่องแคล่วทุกท่าทาง ที่ท่าเสา
ครูมวยชื่อนายเมฆพูดขอเป็นศิษย์ฝึกหัดมวยอยู่กับนายเมฆๆก็ยินดีรับตัวไว้ฝึกมวยให้
นายทองดีฟันขาวฝึกหัดมวยกับนายเมฆและช่วยทำงานต่างๆมาปีเศษ จึงสำเร็จการมวย จนนายเมฆไม่มีท่าทางจะสอนให้อีก
เวลานั้นอายุนายทองดีฟันขาวได้ 18 ปี
อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ร้ายเข้ามาถอนคอลักเอากระบือของนายเมฆไป
2 ตัว
นายเมฆกับนายทองดีฟันขาวพร้อมด้วยเพื่อนพากันออกติดตามรอยกระบือไปกันที่กลางป่า
คนร้าย 2 คน ถือปืนคนหนึ่ง ถือดาบคนหนึ่งเห็นเจ้าของตามมาทันก็กระโดดจากหลังกระบือหนีไป
พวกเจ้าของก็วิ่งไล่ตาม นายทองดีฟันขาววิ่งเร็วกว่าเพื่อนทั้งหมด ไปทันผู้ร้ายแต่ผู้เดียว
มีดาบติดมือไป 1 เล่ม ผู้ร้ายที่ถือปืนกลับหน้ามายิงเอานายทองดีฟันขาวตาไวฟุบตัวลงพร้อมกับปืนลั่น
กระสุนเฉียดศีรษะไป นายทองดีลุกขึ้นชักดาบวิ่งเข้าใส่ ต่างต่อสู้กันไม่ถึงอึดใจ
นายทองดีฟันขาวได้ทีฟันผู้ร้ายถูกที่ข้อมือขาดแล้วฟันซ้ำอีกทีหนึ่งที่แก้ม
ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งที่ถือดาบปราดเข้ามาจะช่วยเพื่อน
นายทองดีฟันขาวกลับหน้าไปต่อสู้ผู้ร้ายคนนั้น ผู้ร้ายพลาดท่านายทองดีฟันขาวจ้วงฟันเต็มแรงถูกคอผู้ร้ายศีรษะขาดกระเด็นร่างของผู้ร้ายก็หงายตูมลง
โลหิตไหลพุ่งเป็นช่อ พอนายเมฆกับเพื่อนบ้านมาถึง
พากันไปดูผู้ร้ายที่ถูกฟันข้อมือขาดยังไม่ตาย จึงช่วยกันหามมามอบให้กรมการตำบลบางโพฐิ์ท่าอิฐๆ
ชมเชยนายทองดีฟันขาวและให้เงินเป็นบำเหน็จ 5 ตำลึง
ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านท่าเสาพากันรักใคร่นับถือนายทองดีฟันขาวมากขึ้น
ความรักนั้นเกิดจากนายทองดีฟันขาวเป็นคนพูดจริง
ทำอะไรทำจริงประกอบด้วยความอารีอารอบต่อเพื่อนหนุ่มด้วยกันเป็นอันดี
ความนับถือนั้นเกิดจากนายทองดีฟันขาวมีฝือมือมวยอย่างยอดเยี่ยมกว่าเพื่อนหนุ่มด้วยกัน
ทั้งหมดและองอาจกล้าหาญดังปรากฏที่ได้ต่อสู้กับผู้ร้าย 2 คน
เอาชัยชนะไปนั้นเป็นตัวอย่าง
อยู่มาเขามีงานมหรสพฉลองพระแท่นศิลาอาสน์มีมวยด้วย
นายเมฆชวนนายทองดีฟันขาวไปเปรียบชกมวยกับเขา นายทองดีฟันขาวดีใจนัก
ซึ่งจะได้อวดฝีมือในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่ฝึกหัดมวยมาก็ยังไม่เคยออกสนามเลยจึงพากันไปถึงพระแท่นก็พอดีเขากำลังเปรียบมวยกัน
นายเมฆจึงพานายทองดีฟันขาวเข้าไปเปรียบกับเขาได้คู่กันกับนายถึกชาวบ้านทุ่งยั้ง
เป็นศิษย์ของนายนิลครูมวยตัวลือของเมืองทุ่งยั้ง แต่นายถึกจะมีภาษีลำแน่นกว่า
จึงกระทำให้นายเมฆผู้เป็นอาจารย์วิตกอยู่บ้าง เกรงนายทองดีฟันขาวจะทานกำลังไม่ไหว
แต่อุ่นใจว่านายทองดีฟันขาวฝีมืออย่างยอดเยี่ยม
ถึงกำลังจะน้อยกว่าอาจหลบหนีเอาตัวรอดได้
จึงให้โอวาทแก่นายทองดีฟันขาวมิให้ตื่นตกใจในสนามด้วยประการต่างๆ
นายทองดีฟันขาวยกมือไหว้อาจารย์แสดงความขอบคุณแล้ว
ก็พอดีเขาขานชื่อเรียกให้ออกชกกัน
นายเมฆจึงจูงนายทองดีฟันขาวออกไปกลางสนามแล้วให้นั่งลง
นายเมฆเสกดินโรยบนศีรษะนายทองดีฟันขาวตามพิธีของครูมวยเสร็จแล้วให้กราบเจ้าของงาน
3 ครั้งแล้วลุกขึ้น ฝ่ายนายนิลก็ทำให้นายถึกเช่นกัน แล้วต่างก็ย่าง 3 ขุมเข้าหากัน
นายทองดีฟันขาวยิ้มอย่างใจเย็น
ย่างเข้าไปด้วยความระมัดระวัง นายถึกเตะหลอกมาพอตีนตก
นายทองดีฟันขาวก็กระโดดข้ามศีรษะนายถึกเอาเท้าถีบถูกท้ายทอยแล้วโจนผลอยลงข้างหลังกลับหน้ามาหานายถึกด้วยฉับไวพอนายถึกเหลียวหน้ามาหา
ก็ถูกเตะพับเข้าที่เพรียงเต็มแรงล้มผางลงกลางสนามสลบเหมือดอยู่กับที่ กว่าจะฟื้นได้เกือบ
10 นาที นายถึกยอมแพ้ในยกนั้นเอง
คนดูพากันตบมือแสดงความพอใจและสรรเสริญนายทองดีฟันขาวลั่นสนาม
ฝ่ายนายนิลอาจารย์ของนายถึก
วางหน้าเก้อด้วยความอายที่ศิษย์ของตัวแพ้ศิษย์ของคู่ปรปักษ
คือนายนิลกับนายเมฆนี้ได้ต่อยกันในสนามมาหลายครั้งแล้ว เอาชนะกันไม่ได้จึงต่างฝึกหัดศิษย์ให้มาต่อสู้กันเสมอ
แต่ศิษย์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถึงกับแพ้หลุดลุ่ยเช่นครั้งนี้จึงกระทำให้นายนิลมีความอายยิ่งนักซ้ำถูกนายเมฆทำเป็นท่าทีเย้ยหยันให้ด้วย
จึงบันดาลโทสะพูดโพล่งออกไปว่า “อ้ายเมฆ มึงไม่ต้องเยาะเย้ยดอกวะ
มึงกับกูมาต่อยกันอีกเถอะ” นายเมฆหัวเราะรับว่า “ ดีนักละเพื่อนมาไปบอกนายสนามด้วยกันเดี๋ยวนี้ ”
นายทองดีฟันขาวได้ยินดังนั้นจึงชิงพูดขึ้นว่า " สู้กับครูฉันไม่ดีหรอก
ถ้าครูคิดจะแก้แค้นแทนศิษย์ต้องสู้กับฉันผู้ชนะศิษย์ของครูจึงจะควร " นายนิลย้อนถามว่า " แน่หรือ " นายทองดีฟันขาวตอบว่า “แน่ซีครับ” นายเมฆห้ามไม่ให้นายทองดีฟันขาวสู้แกจะสู้เอง
นายทองดีฟันขาวก็ไม่ยอมยกเหตุว่า
“ เกิดมาเป็นชายชาตินักมวยได้ลั่นวาจาจะสู้กับเขาแล้วไม่สู้ ก็เสียเกียรติของนักมวย
ประการหนึ่งเขาเป็นศิษย์มากับครู จะปล่อยให้ครูไป
สู้เช่นนั้นย่อมเสียเกียรติของนักมวยผู้เป็นศิษย์ลงไปอีกโสดหนึ่งด้วย ”
พูดเท่านั้นก็รีบชวนนายนิลเข้าไปหาสนามชี้แจงให้ทราบ
ตกลงกันแล้วนายเมฆจึงกระซิบนายทองดีฟันขาวว่า
“ นายนิลเขามีฝีมือเยี่ยมอยู่และเป็นมวยรุกต้องระวังตัวให้มาก
เพราะร่างกายทั้งอายุอานามก็เสียเปรียบเขากว่า 2 เอา 1 ”
พอนายสนามเรียกให้ออกสู้กัน
นายเมฆก็จูงนายทองดีฟันขาวออกไปกลางสนามทำพิธีเสกดินโรยศีรษะให้เช่นคราวก่อน
พอนายทองดีฟันขาวลุกขึ้นนายนิลก็รำเชิงมวยป๋อเข้ามาหาคนดู
เหมือนจะเอาใจช่วยนายทองดีฟันขาวมากพากันร้องเตือนสติว่า
“ พ่อหนุ่มน้อยระวังตัวให้ดี ”
นายนิลรำเข้ามาใกล้แล้วก็ขยับหลอกเหมือนจะชกเตะ ท่านั้นท่านี้ได้ทีก็ชกเตะพันลำทีเดียว นายดีฟันขาวถอยพลางปิดหมัดปัดเท้าพลางนายนิลรุกตลอดยกนั้น แต่นายทองดีฟันขาวมิได้ถูกหมัดและเท้าจังเลยนิดเดียว เมื่อหยุดมานั่งพักอยู่ นายเมฆคงนึกหนักใจอยู่บ้าง จึงกระซิบถามนายทองดีฟันขาวว่า “ เป็นไง หนักอกหนักใจอย่างไรบ้าง ” นายทองดีหัวเราะตอบว่า “ ก็ครูสั่งให้ฉันระวังตัวฉันก็ต้องระวังดูเชิงเขาก่อน บัดนี้รู้แล้วว่าฝีมือเขามีเพียงไร ยกนี้แหละฉันจะปล่อยหมัดเด็ดบ้าง ไม่ตายก็คางเหลืองละ”
พอสิ้นกำหนดพักก็เข้าชกกันอีก นายนิลสะอึกจะเข้ารุกตามเดิม นายทองดีฟันขาวได้ท่า ก็ปล่อยหมัดทั้งซ้ายขวาพร้อมกันถูกที่กกแขนซ้ายขวานิลเต็มแรงจนเซไป นายนิลถ้าจะขัดแขนไม่เห็นชกตอบ ได้แต่เตะนายทองดีฟันขาวจับเท้าไว้ได้ก็กระชากเข้ามาหาตัว แล้วยกเข่าขึ้นกระแทกที่ท้องนายนิล พร้อมด้วยหมัดซ้ายขวา เจิมเข้าที่คางหมัดหนึ่งปากครึ่งจมูกครึ่งหมัดหนึ่งอย่างเต็มรัก นายนิลหงายหลังล้มตูมลงไปชักตาตั้งฟันหลุด 4 ซี่เลือดเต็มปาก แก้ไขกันอยู่เป็นนานกว่าจะฟื้นได้ถึงกระนั้นก็ลุกไม่ขึ้นต้องห้ามกันกลับบ้าน คนดูออกปากชมนายทองดีฟันขาวว่ามวยเทวดาไม่มีใครสู้ได้แล้ว
เมื่อนายเมฆพานายทองดีฟันขาวกลับถึงบ้านแล้วจึงถามว่า
“อ้ายท่ากระโดดข้ามศรีษะแล้วกลับมาเตะนั้น ข้าไม่ได้สอนให้เอ็งเลยไปหัดมาจากไหน”
นายทองดีฟันขาวตอบว่า
“ฉันไปดูงิ้วเล่นที่ศาลเจ้าบางโพธิ์เห็นท่าเหมาะสมไว้ใช้การชกมวยได้
จึงจำเอามาหัดด้วยตนเองจนจำได้เหมือนงิ้วมันเล่น ฉันเห็นนายถึกเป็นเซ่อๆ
จึงลองใช้ดูก็เป็นผลสำเร็จดี” นายเมฆได้ฟังจึงตบไหล่นายทองดีเบาๆพูดว่า “อ้ายศิษย์แก้ว
ต่อไปจะไม่มีใครมาขันสู้กับเจ้าอีกแล้ว”
ตั้งแต่นั้นมาไม่มีนักมวยคนใดแขวงเมืองพิชัย
เมืองทุ่งยั้ง เมืองลับแล เมืองฝาง มาขันสู้กับนายทองดีฟันขาวเลย
นายทองดีฟันขาวอยู่กับนายเมฆต่อมาอีกประมาณ 3 เดือน
มีพระสงฆ์เมืองสวรรคโลกมาพักอยู่ที่วัดท่าเสานายทองดีฟันขาวไปสนทนาด้วยจนเป็นเหตุที่คุ้นเคยชอบพอกัน
พระสงฆ์พระองค์นั้นจึงชักชวนให้ไปเที่ยวเมืองสวรรคโลกด้วยกันและเล่าให้ฟังว่า
มีครูนักฟันดาบผู้หนึ่งอยู่ที่เมืองสวรรคโลก มีฝีมือลือลั่นมากเวลานี้เจ้าเมืองสวรรคโลกรับตัวเอาไปเป็นครูหัดบุตรชายท่าน
และครูผู้นั้นเป็นอาของพระสงฆ์องค์นั้น รับรองว่า
ถ้านายทองดีฟันขาวพอใจจะฝึกหัดเป็นนักฟันดาบแล้วจะฝากให้
นายทองดีฟันขาวได้ทราบดังนั้นมีความยินดีเป็นที่ยิ่ง
จึงรับปากจะไปกับพระสงฆ์องค์นั้นพอได้โอกาสจึงเข้าไปลานายเมฆและเล่าความประสงค์ให้ฟัง
นายเมฆจึงมีความอาลัยไม่อยากให้ไปแต่จนใจด้วยไม่มีวิชามวยจะสอนให้อีก
จึงจำต้องอนุญาตให้ไปตามความประสงค์
พระสงฆ์กับนายทองดีฟันขาวก็ออกจากท่าเสาพากันเดินทางไปเมืองสวรรคโลก
พักอยู่ในวัดพระปรางค์กับพระสงฆ์องค์นั้น ได้ทราบว่าครูฟันดาบผู้นั้นฝึกหัดบุตรเจ้าเมืองสำเร็จกลับมาอยู่บ้านแล้ว
พระสงฆ์องค์นั้นพานายทองดีฟันขาวไปฝากขอช่วยฝึกหัดดาบให้
ครูผู้นั้นก็ยินดีรับฝึกหัดให้นายทองดีฟันขาวฝึกหัดอยู่ประมาณ 3 เดือน
ก็ทำได้คล่องแคล่วทุกท่าทางจบหลักสูตรของครูกับครูออกปากว่า
“ฝึกหัดศิษย์มานักแล้ว ยังไม่ได้รวดเร็วเหมือนนายทองดีฟันขาวเลยและทำได้อย่างดีเสียด้วย” ที่จริงก็ไม่สู้ประหลาดนัก ด้วยทองดีฟันขาวเป็นนักมวยอยู่แล้วอย่างหนึ่ง มีไหวพริบดีอย่างหนึ่ง มีนิสัยทำอะไรทำอะไรทำจริงไม่เกียจคร้านอย่างหนึ่ง จึงฝึกหัดได้รวดเร็ว ความทราบถึงบุตรชายเจ้าเมืองที่หัดฟันดาบสำเร็จไปแล้ว จึงให้ตามตัวนายทองดีฟันขาวไปซ้อมฟันดาบกันหลายเวลา เป็นที่พอใจของบุตรชายเจ้าเมืองมาก แท้จริงฝีมือบุตรเจ้าเมืองสู้ไม่ได้อย่างหลุดลุ่ย แต่หานายทองดีฟันขาวลดมือให้พอแลกเปลี่ยนเสมอกันไป ถ้าจะรุกให้ถึงกับพ่ายแพ้ก็ไม่ยาก แต่เกรงบุตรเจ้าเมืองจะโกรธ อาจใช้อำนาจข่มเหงเอาด้วยประการทั้งปวง
อยู่มาพระสงฆ์องค์นั้นชวนไปเที่ยวเมืองสุโขทัย
นายทองดีฟันขาวไปกับพระสงฆ์องค์นั้นพักอยู่ที่วัดธานีในเมืองสุโขทัย
มีจีนแต้จิ๋วผู้หนึ่งชำนาญเพลงมวย ตั้งฝึกหัดเด็กลูกจีนที่ปากคลองอาจม
นายทองดีฟันขาวไปดูเขาฝึกหัด เห็นท่าจับต่างๆเช่น จับหักไหปลาร้าเป็นต้นก็ชอบใจ
(เห็นจะเป็นชนิดที่สมัยนี้เรียกมวยยูญิตสูกระมัง)
จึงเข้าประจบจีนผู้นั้นยอมตัวเป็นศิษย์ขอฝึกหัดมวยด้วยจีนผู้นั้นก็รับฝึกหัดให้โดยไม่รังเกียจ
นายทองดีฟันขาวฝึกหัดอยู่ไม่ถึงเดือนก็สำเร็จ ครูจีนผู้นั้นออกปากว่า “ลื้อเป็นเซียนไม่ใช่มนุษย์”
จึงเกิดมีข่าวเล่าลือกันทั่วไปว่า นายทองดีฟันขาวเป็นนักกีฬาตัวเองหาผู้เสมอได้ยาก
จึงมีเด็กรุ่นหนุ่มมาขอเป็นศิษย์ฝึกหัดเพลงมวยบ้าง เพลงฟันดาบบ้าง
นายทองดีฟันขาวก็ฝึกหัดให้
ยังมีเด็กกำพร้าบิดามารดาคนหนึ่งชื่อบุญเกิด
อาศัยอยู่ในวัดนั้นอายุ 13 ปี มาขอเป็นศิษย์ยอมไปไหนด้วยกับนายทองดีฟันขาวๆ
ยินดีที่ได้เด็กบุญเกิดมาเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่สุขต่อไปภายหน้า
ตั้งแต่นั้นมาเด็กบุญเกิดก็กินอยู่หลับนอนด้วยนายทองดีฟันขาวล่วงมาได้ประมาณ
6 เดือน
มีคนจีนเกิดเมืองไทยผู้หนึ่งมาจากเมืองตากค้างอยู่ในเมืองสุโขทัย
หาเพื่อนกลับตากยังไม่ได้ ด้วยหนทางไปเมืองตากมีเสือชุม
มักจะทำอันตรายแก่คนเดินทางไปมาเนืองๆ
วันหนึ่งจีนผู้นั้นเดินไปที่วัดที่เห็นนายทองดีฟันขาวกำลังฝึกหัดมวยให้พวกเด็กที่ลานวัด
จีนผู้นั้นไปนั่งดูจนเลิกการฝึกหัดแล้วจึงสนทนากับนายทองดีฟันขาวจีนผู้นั้นเล่าให้ฟังว่าพระเจ้าตาก(เวลานั้นยังเป็นเจ้าเมืองตาก)
โปรดปรานการชกมวยยิ่งนัก กระทำให้ชาวเมืองพากันนิยมฝึกหัดมวยเป็นอันมาก
จึงชักชวนนายทองดีฟันขาวไปเที่ยวเมืองตากด้วยกัน นายทองดีฟันขาวยินดีรับจะไปด้วย
พอถึงวันกำหนดนายทองดีฟันขาวกับเด็กบุญเกิดก็ออกเดินทางไปกับจีนผู้นั้น
จำเพาะไปค่ำลงในป่าที่เสือชุมจะไปต่อก็เกรงอันตราย จึงพากันพักนอนใต้ต้นไม้ริมทาง
ก่อไปรอบที่นอนผลัดกันนอนผลัดกันนั่งยาม คอยสุมไฟให้ลุกอยู่เสมอ
ด้วยเกรงเสือจะเข้ามาทำอันตรายพอถึงคราวเด็กบุญเกิดนั่งยามคอยสุมไฟ
ง่วงหลับเสียไฟดับเสือก็ย่องเข้ามากัดเอาขาเด็กบุญเกิดลากถูลู่ถูกังไป
เด็กบุญเกิดร้องให้ช่วย
นายทองดีฟันขาวตื่นขึ้นเห็นเสือกำลังลากเด็กบุญเกิดไปก็ตกใจความอาลัยในเด็กบุญเกิดลืมกลัวเสือ
ฉวยได้มีดซุยยาว 1 คืบ เฉพาะตัวมีดก็วิ่งไล่ตามเสือไป
พอทันก็ตรงเข้ากอดคอเสือผลักจะให้เสือล้ม เสือวางแด็กบุญเกิดเลี้ยวอ้าปากมาจะกัดนายทองดีฟันขาวๆแทงด้วยมีดซุยกรอกเข้าไปในปากเสือกดคว้านจนมิดมีด
อีกมือหนึ่งก็กอดคอเสือไว้แน่น เท้ายันดินดันเสือมิให้ทรงตัวอยู่ได้
เสือมัวแต่ตะกายดินกลัวจะล้ม
ทำไมนายทองดีฟันขาวไม่ได้เสือเจ็บหนักเข้ากระโดดหนีโดยแรงมือนายทองดีฟันขาวหลุดจากคอเสือและมีดก็หลุดติดปากเสือไป
นายทองดีฟันขาวจึงเรียกจีนที่ไปด้วยกันให้มาช่วยหามเด็กบุญเกิดไปพักนอน
ตรวจบาดแผลเด็กบุญเกิดเห็นเหวอะหวะมาก และตามหน้าตามตัวก็ถลอดปอกเปิก
ชอกช้ำด้วยฤทธิ์เสือพาลากไปจึงช่วยกันคัดเลือดเอาผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้วก่อไฟให้ลุก
และเคาะไม้บ้างร้องเฮ้อฮ้าบ้างกับจีนผู้นั้นจนตลอดรุ่ง
เพราะกลัวเสือจะเข้ามาทำอันตรายอีกแล้วจึงทำแคร่หามเด็กบุญเกิดไป 2 วัน
จึงถึงเมืองตากไปขออาศัยอยู่ในวัดใหญ่เมืองตากด้วยท่านพระครูนั้นเป็นหมอเสือขอความกรุณาท่านช่วยรักษาเด็กบุญเกิดท่านรักษาอยู่เกือบ
2 เดือน จึงหายเป็นปกติ
อนึ่ง
เมื่อนายทองดีฟันขาวไปอาศัยอยู่ที่วัดนั้นได้ 4-5 วัน
มีพวกลูกค้าเกวียนชาวเมืองสุโขทัย 13-14 เล่ม
บรรทุกปลาย่างปลาเกลือมาขายที่เมืองตากเล่าว่า
เขามาพักนอนที่ตรงเสือกันเด็กบุญเกิด เห็นเลือดแห้งติดอยู่ตามเดินตามใบไม้ใหญ่
ก็ไม่รู้ว่าเลือดอะไร เมื่อไปหาฟืนในป่าเห็นเลือดตกกองอยู่มากกับมีดซุย 1 เล่ม
เขาจึงตามรอยเลือดตกเป็นทางไปพบเสือนอนอ้าปากตาค้างอยู่เห็นลิ้นกับหลอดคอเสือขาดเวอะหวะดังนี้ จึงทราบว่าเสือตัวนั้นตายที่มีดซุยกับเลือดตกกองอยู่มาก ชะรอยเสือจะไปกระอักเลือดกระอักมีดซุยออกตรงนั้นเอง
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าตากพร้อมด้วยข้าราชการมาถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่วัด ซึ่งนายทองดีฟันขาวอาศัยอยู่และมีมวยฉลองด้วย นายสนามก็เรียกพวกมวยมาให้เปรียบกับนายทองดีฟันขาวมีครูมวยชื่อนายห้าวจูงเอาพวกมวยเข้ามาเปรียบเทียบกับนายทองดีๆ หาเปรียบกับพวกมวยเหล่านั้นไม่กลับเอียงไหล่เข้าไปเปรียบกับนายห้าว แล้วพูดว่า “ฉันอยากจะเปรียบกับครู คนอื่นไม่ต้องการ” นายห้าวสำคัญว่านายทองดีฟันขาวพูดล้อเล่นก็หัวเราะ นายทองดีฟันขาวรู้ทีจึงพูดซ้ำอีกว่า “จริงๆน่าครู ฉันอยากจะชกกับครูมากกว่าคนอื่นเพราะคิดเสียว่าถึงจะแพ้ก็คงจำแต้มครูไว้ได้บ้างไม่มากก็น้อย” “เอ๊ะนี่จะสู้กับข้าจริงๆ หรือพ่อหนุ่มตะกอ” นายห้าวถาม “จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครู” นายทองดีฟันขาวตอบ
นายห้าวจึงบอกให้นายสนามจดชื่อไว้ด้วยกัน
กระทำให้นายสนามกับพวกที่เข้าไปอยู่ในสนามพากันพิศวงที่นายทองดีฟันขาวขันสู้กับนายห้าวครูมวยลือเช่นนั้น
ทั้งร่างกายหรือก็เสียบเปรียบเหมือนนิ้วก้อยกับหัวแม่มือและนายห้าวก็มีอายุ 36 ปี
นายทองดีฟันขาวมีอายุพึ่งย่างเข้า 21 ปี
เท่านั้นแล้วนายทองดีฟันขาวก็กลับขึ้นไปบนกุฏิ บอกกับท่านพระครูๆ ตกใจพูดว่า
เจ้าจะต่อสู้กับนายห้าวนั้นอาจมีภัยหลายประการ คือนายห้าวคนนี้เป็นครูมวยตัวลือชื่อดังตลอดแขวงเมืองตากไม่มีใครสู้ได้ ถึงเจ้าจะมีฝีมือเทียมกันก็คงจะแพ้กำลังเขา เพราะรูปร่างเขาใหญ่โตแน่นหนากว่าเจ้าทั้งอายุก็มากกว่าที่สุดถึงแม้เจ้าชนะเจ้าก็อยู่วัดนี้ต่อไปไม่ได้ ศิษย์เขามากย่อมจะคุมแค้นอับอายแทนครูเขา ก็จะหาโอกาสทำอันตรายเจ้าจนได้ เมื่อนายทองดีฟันขาวได้ฟังคำชี้เหตุจะนำผลร้ายมาสู่ตนเช่นนั้นก็เห็นจริงด้วย เกิดปริวิตกร้อนใจวุ่นอยู่พอได้เวลาชกมวยนายสนามร้องขานชื่อนายห้าวกับนายทองดีฟันขาวให้ออกชกกันจึงทราบว่านายทองดีฟันขาว หายหน้าไปไหนเสียแล้ว
พระเจ้าตากสั่งให้ติดตามเอามาให้ได้
เมื่อนายสนามทราบว่านายทองดีฟันขาวอาศัยอยู่ที่วัด
จึงขึ้นไปบนกุฏิพบนายทองดีฟันขาวนั่งปรับทุกข์อยู่กับท่านพระครู ได้ช่วยกันขอร้องมิให้นายทองดีฟันขาวชกกับนายห้าว นายสนามไม่ยอมว่าได้นำรายชื่อเสนอพระเจ้าตากเสียแล้ว ให้ไปทูลขอต่อพระเจ้าตากเอง
เขาไม่มีอำนาจจะอนุญาตให้ได้
ท่านพระครูจึงพานายทองดีฟันขาวไปเฝ้าพระเจ้าตากพร้อมด้วยนายสนาม
ทูลเหตุผลซึ่งจะเป็นภัยแก่นายทองดีฟันขาว
พระเจ้าตากทรงรับสั่งว่าข้อที่กลัวนายห้าวกับศิษย์จะผูกอาฆาตร้ายนั้น
พระองค์ท่านรับรองเช่นนั้นก็เพราะพระองค์ได้ข่าวว่านายทองดีฟันขาวผู้นี้แหละที่เสือกัดเพื่อนลากเอาไปแย่งกลับมาได้
ซ้ำแทงเสือจนป่วยตาย และนายทองดีฟันขาวก็รู้อยู่แก่ใจ
เห็นอยู่แก่ตาแล้วว่านายห้าวแน่นหนากว่า อายุแก่กว่าและเป็นครูมวยลือด้วย
เมื่อกล้าขันจะต่อสู้เช่นนั้นคงมีฝีมือเยี่ยมอยู่จึงอยากทอดพระเนตร
เมื่อนายทองดีฟันขาวได้ฟังรับรองเช่นนั้น
จึงตกลงยอมจะเข้าชกกับนายห้าวนายสนามจึงเร่งให้นายทองดีฟันขาวคาดเชือกมือ นายทองดีฟันขาวลั่นศีรษะพูดว่าไม่ต้องคาดก็ได้ จึงให้ออกไปกลางสนามพร้อมกับนายห้าว
นายทองดีฟันขาวถวายบังคมพระเจ้าตาก
3 ครั้ง แล้วลุกขึ้นรำท่ามวยคนดูตบมือลั่นสรรเสริญว่า รำท่าทางแลดูสง่า
อำนาจประดุจพระยาราชสีห์กำลังจะเข้าจับสัตว์เป็นภักษาหาร ส่วนนายห้าวนั้นพอลุกขึ้นก็ย่าง 3 ขุม
ตรงเข้าใส่พอใกล้ก็โถมเข้าเตะชกตะบันด้วยกำลังมิให้นายทองดีฟันขาวตั้งตัวได้
นายทองดีฟันขาวก็ปิดปัดด้วยความว่องไวมิให้ถูกจังได้
และถอยรับเรื่อยไปจนชิดเชือกที่ขึงนายห้าวก็ยิ่งเบ่งกล้ามเนื้อชกเตะอย่างตลุมบอน
นายทองดีฟันขาวเห็นท่าไม่ดีเลยทำล้มเสีย ก็พอดีถึงกำหนดพักในยกนั้น
คนดูที่เอาใจช่วยนายทองดีฟันขาวพากันวิตกว่าจะสู้นายห้าวไม่ได้ถึงกับพระเจ้าตากทรงรับสั่งว่า “จะสู้ต่อไปหรือยอมแพ้” นายทองดีฟันขาวทูลตอบว่า จะขอสู้ลองอีกสักยกหนึ่ง ครั้นแล้วก็เข้าชกกันอีก เมื่อต่างย่างเข้าไปจวนจะถึงตัวกัน นายทองดีฟันขาวพูด “ว่าคราวนี้แหละครูระวังไว้ให้ดี” พอขาดคำก็กระโดดเหยียบชายพกเสือกหมัดถูกตานายห้าวเอียงไปถึงเอาศอกซ้ายขวาของศีรษะนายห้าว 2 ทีซ้อนๆกัน แล้วหกคะเมนผลอยไปยืนอยู่ข้างหลังนายห้าว ซึ่งถูกศอกมึนเซจวนจะล้มยกเท้าซ้ายเตะถูกปากครึ่งจมูกครึ่งนายห้าวหงายหลังหน้าเอียงกระเท่เร่มาข้างซ้าย นายทองดีฟันขาวยกเท้าเตะสกัด โดยเต็มแรงถูกที่ขาตะไกรนายห้าวล้มสงบอยู่กับที่นั้นเอง ศีรษะที่ถูกศอกแตกทั้ง 2 แผล ฟันหัก 2 ซี่ จมูกฉีกเข้าไปเป็นกอง เลือดหูและศีรษะ ปาก จมูกไหลออกมาเป็นลิ่มหนึ่งพอแก้ฟื้นขึ้นนายห้าวก็ยอมแพ้
พระเจ้าตากรับสั่งถามนายทองดีฟันขาวว่า
จะชกกับคนอื่นในเดี๋ยวนี้ได้ไหม นายทองดีฟันขาวทูลรับว่าได้
จึงเรียกครูชกมวยพระองค์ท่านชื่อ นายหมึกอายุราว 40 ปี ผิวเนื้อดำจริงสมชื่อ รูปร่างแน่นหนาใหญ่โตกว่านายห้าวเสียอีก
เมื่อนายหมึกเข้าไปยืนเคียงนายทองดีฟันขาว ใครๆพากันเข้าใจว่านายทองดีฟันขาวคงไม่สู้แต่ที่ไหนได้พอพระเจ้าตากรับสั่งถามว่า
“เอาไหมเจ้าหนุ่มกระเตาะ” นายทองดีฟันขาวก็ทูลรับว่าเอาทันที จึงให้ออกชกกัน
นายหมึกชกได้ทีหนึ่ง
นายทองดีก็ปัดหมัดเสียได้ นายหมึกเตะช้าอีกทีหนึ่ง นายทองดีฟันขาวก็รับศอกได้อีก
แล้วเตะสวนไปบ้างถูกนายหมึกที่ขาตะไกรซ้ายอย่างจัง
นายหมึกเซไปข้างขวาก็ถูกเตะรับเข้าที่ขาตะไกรขวาอย่างจังอีก
คราวนี้นายทองดีฟันขาวเตะเล่นเป็นเตะต้นกล้วยเหมือนคราวเมื่อเด็กถูกขาตะไกรซ้ายขวาทุกทีเอียงไปเอียงมากกว่าจะล้มลงไปได้
ถูกเข้าไปข้างละหลายทีสลบอยู่กับที่นั้นเอง
พระเจ้าตากตบพระเพลาพลางรับสั่งว่า “นักมวยผู้นี้มีฝีมือเลิศล้ำหาตัวมาสู้ไม่ได้อีกแล้ว” จึงเรียกตัวเข้าไปรับเงินรางวัล 5 ตำลัง แล้วชักชวนให้อยู่ด้วย จะชุบเลี้ยงให้มีความสุขต่อไป นายทองดีฟันขาวก็ถวายตัวเป็นข้าอยู่ในจวนพระเจ้าตากตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าตากโปรดปรานมากด้วย นายทองดีฟันขาวเป็นคนขยันขันแข็งไม่เกียจคร้านต่อการงาน เวลาว่าราชการพระเจ้าตากให้นายทองดีฟันขาวรำมวยรำดาบทอดพระเนตรเนืองๆ ทรงชมเชยว่ารำงามทุกท่าทางทอดพระเนตรไม่จืดเลย พอนายทองดีฟันขาวอายุได้ 21 ปีเต็ม พระเจ้าตากก็จัดการบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ให้แห่แหนผัดช้างผัดม้ากันสนุกสนานมาก นายทองดีฟันขาวเป็นสงฆ์อยู่ 1 พรรษาก็สึกออกมาอยู่กับพระเจ้าตากต่อไป
พระเจ้าตากให้เป็นหลวงพิชัยอาษา
อนึ่งเด็กบุญเกิดที่เสือกัดนั้นก็ติดตามไปอยู่กับหลวงพิชัยอาษาๆ
รักใคร่ไว้เนื้อเชื่อใจมาก ฝ่ายพระเจ้าตากก็ยิ่งโปรดปรานหลวงพิชัยอาษามาก
จึงพระราชทานนางสาวลำยงสาวใช้ของพระมเหสีให้เป็นภรรยา
และจะเสด็จไปไหนโปรดให้หลวงพิชัยอาษาเป็นราชองครักษ์ตามเสด็จด้วยทุกครั้ง
เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดพระองค์
เรื่องราวกำลังสนุกเข้มข้นมากขึ้น อย่าพลาด ! ติดตามประวัติของพระยาพิชัยดาบหัก ตอนที่ 2 กันนะครับ
ขอบคุณ : 1. หนังสือประวัติพระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ ปี 2524
2. ที่มาของภาพประกอบเรื่อง จากพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดพระยาพิชัย และ จาก https://www.google.co.th/search?q=รูปวาดพระยาพิชัยดาบหัก&tbm
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น