ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก ตอนที่ 2

 


สวัสดีครับ ยังคงนำเสนอประวัติของพระยาพิชัยดาบหักต่อเนื่องเป็นตอนที่ 2  ความเดิมตอนที่แล้ว..ฝ่ายพระเจ้าตากก็ยิ่งโปรดปรานหลวงพิชัยอาษามาก จึงพระราชทานนางสาวลำยงสาวใช้ของพระมเหสีให้เป็นภรรยา และจะเสด็จไปไหนโปรดให้หลวงพิชัยอาษาเป็นราชองครักษ์ตามเสด็จด้วยทุกครั้ง เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดพระองค์...."

ที่เมืองตากในสมัยนั้น พวกกรมการตลอดจนพระเจ้าตากนิยมเล่นการพนันชนไก่กันสนุกสนานมาก หลวงพิชัยอาษาก็อยู่ในจำนวนที่ชอบเล่นไก่ด้วย และไก่หลวงพิชัยอาษามีดีอยู่ตัวหนึ่งสีเขียวตาเขียวพร้อมชื่อ พาลี ตีชนะมาหลายไก่และก็ชนะไม่เลย 3 อันสักครั้งเดียว จนไม่มีใครมาขันสู้ นอกจากหลวงเมือง ซึ่งไก่ของตนแพ้ไป 2 ตัวแล้ว มานะใช้คนไปเที่ยวหาไก่ที่มีลำแข้งดีเพื่อมาหักไก่ชื่อพาลีให้ได้ คนใช้ไปหาได้มาพร้อมด้วยประวัติของไก่ว่า เมื่อแม่ไก่จะฟักเจ้าของเอาไข่ชั่งได้น้ำหนักมากกว่าไข่ฟองอื่น 3 ฟอง จึงให้แม่ไก่ฟักเฉพาะ 3 ฟองเท่านั้น แต่ได้ตัวผู้ตัวเดียวนี้นอกนั้นเน่าหมดไก่ตัวนี้สีเหลือง ปากเหลือง แข้งเหลือง หางขาว เจ้าของให้ชื่อโทนเฒ่า เป็นไก่เคยชนะบ่อนมาแล้วเหมือนกัน แต่หาคู่ตียากด้วยเป็นไก่ชนิดสูงใหญ่กว่าธรรมดาไก่มาก เจ้าของเกิดเบื่อเลี้ยงขึ้นจึงให้มา หลวงเมืองเห็นไก่ตัวนี้เข้าก็ชอบใจ จึงหาไก่มาลองซ้อมฝึกดู ไก่โทนเฒ่าก็ตีไก่ตัวนั้นชักผั้บๆ แพ้ในอันนั้นเอง หลวงเมืองดีใจนักเพราะไก่ตัวนี้สูงใหญ่กว่าไก่พาลีของหลวงเมืองพิชัยอาษากว่า 2 เอา 1 เชื่อใจว่าถ้าหลวงพิชัยอาษากล้าดีแล้ว ไก่พาลีต้องแพ้หลุดลุยทีเดียว จึงถนอมเลี้ยงไก่โทนเฒ่าไว้ในที่ลับมิให้ใครเห็นจนมีกำลังได้ที่ จึงไปท้าหลวงพิชัยอาษาว่าได้ไก่มาจะชนะกับไก่พาลีตัวลือ แต่ต้องคลุมถุงชน แปลว่าไม่ต้องเปรียบกันให้เสียเวลา

หลวงพิชัยอาษาก็นึกรู้สึกได้ทันทีว่า ไก่ตัวนั้นคงจะได้เปรียบพาลีแน่นอน แต่ไก่พาลีเป็นไก่ขนาดกลาง ถึงแม้จะสูงใหญ่กว่าคงไม่เลย 5 เอา 4 สามสองไปได้ ถ้าเลยไปกว่านี้ก็ผิดธรรมดาไก่ชนไป เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วจึงรับปากนัดชนกัน  พอถึงกำหนด หลวงเมือง หลวงพิชัยอาษา ต่างก็นำไก่ไปที่สังเวียนพวกพ้องของใครต่างก็พอกันไปคอยเล่นคอยดูเต็มแน่นล้อมรอบสังเวียน ส่วนหลวงเมืองนั้นรีบไปถึงก่อนเอาสุ่มครอบและเอาผ้าคลุมไก่โทนเฒ่าไว้ไม่ยอมให้หลวงพิชัยอาษากับพวกเปิดดู

ในวันนั้นพระเจ้าตากเสด็จทอดพระเนตรด้วย เมื่อว่าเดิมพันกันเป็นที่ตกลงกันแล้วหลวงเมืองจึงไปเปิดสุ่มอุ้มไก่โทนเฒ่าเข้ามาในสังเวียน  หลวงพิชัยอาษาเห็นไก่โทนเฒ่าสีและลักษณะต้องในตำรามีสกุลว่าไก่ของตัวทั้งสูใหญ่กว่า 2 เอา 1 ผิดคาดเช่นนั้น ก็ตกใจหน้าเชียวลง  ในขณะนั้นแล้วกลับนึกมานะว่าไก่เราก็มีฝีแข้งเป็นทุกด้านคงพลาดท่าให้ไก่เราปล่อยแข้งเด็ดได้บ้าง ถึงชนะได้ก็คงถึงป้อนข้าวกัน ประการที่ 1 ที่ไก่พาลีตีมาแล้วก็ไม่ได้ตีเท่าบ่าเท่าไหล่สักครั้ง  ตีเสียเปรียบเขาตั้ง 5 เอา 4 สามสองยังเอาชนะได้

เมื่อต่างทำพิธีเอาผ้าชุบน้ำเคล้าหน้า เศกเป่าลงที่ศีรษะไก่เสร็จแล้วปล่อยให้เข้าตีกันฝ่ายหลวงเมืองกับพรรคพวกร้องเสมอไก่ของตัวเป็นจ้าละหวั่น  หลวงพิชัยอาษากับพรรคพวกก็รับบ้าง พอมิให้เสียเหลี่ยมของทางนักเลงด้วยไม่สู้จะเต็มใจเพราะเสียเปรียบมากนัก ต้องรอดูเชิงไก่ก่อน  นับว่าตั้งแต่เมืองตากเล่นชนไก่กันมาคนไม่มากและไม่ออกรสสนุกสนานเหมือนวันนี้ พอไก่ประสานแข้งกันจวนจะเข้าเกี้ยว ไก่โทนเฒ่าเตะสาดไปเฉยๆ ไม่ต้องจิกเสียก่อน หักเอาไก่พาลีหมุนติ้ว ไก่โทนเฒ่าเตะซ้ำไก่พาลีถูกแข้งตื่นบินขึ้นจนสุดตัวแล้วก็วิ่งหนี ไก่โทนเฒ่าก็วิ่งไล่ไปรอบสังเวียนฝ่ายหลวงเมืองกับพวกต่างหน้าบานร้องต่อที่สุด 3 เอา 1 และหลวงพิชัยอาษากับพวกหน้าซีดไปตามกันไม่มีใครกล้าร้อง ผู้ให้น้ำกระโดดเข้าขับประคับประคองแก้ขัดที่ถูกหักจนหายขัดหายยอกแล้วอุ้มวางให้เดิน


ไก่พาลีตีปีกขันเดินเหยาะย่างไปเชิงร่าเริง ทำให้หลวงพิชัยอาษากับพวกมีน้ำใจขึ้นพอนำไก่พาลีเข้าสังเวียน หลวงเมืองกับพวกก็ร้องต่อ 3 เอา 1 อีก เสียงลั้นไปทั้งสังเวียน  หลวงพิชัยอาษากับพวกยังไม่กล้ารองด้วยไก่พาลีวิ่งหนีตลอดอันเกรงจะไม่สู้หนา พอเห็นไก่พาลีดิ้นรนจะเข้าไปตีไก่โทนเฒ่าให้ได้เช่นนั้น ต่างแบเมือเข้ารอง 3 เอา 1 คนละหลายหลุม กว่าจะปล่อยไก่ชนกันได้เป็นนาน เพราะต้องจดบัญชีที่ต่อรองกัน พอปล่อยเข้าปะทะกัน 2-3 ที ไก่พาลีชวยออกคล้ายจะหนี ไก่โทนเฒ่าโดนเข้าจิกจะตีแต่จิกผิด ไก่พาลีเตะลัดสวนควันมาแทงถูกไก่โทนเฒ่าเข้าที่รูหูอย่างจัง แต่เขาขลิบปลายเดือยเลียหน่อยด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่สู้แหลมถึงกระนั้นก็เข้าไปเกือบหมดเดือย  ไก่โทนเฒ่าหันเป็นกระแตเวียน ไก่พาลีเข้าเตะอีกทีหนึ่ง โดยไม่ต้องจิกถูกท้ายเสนียดเป็นลำหัก ไก่โทนเฒ่าดิ้นผับๆ หัวเสือกเกลือกอยู่กับดิน ไก่พาลีเอาตีนไปเขี่ยหัวไก่โทนเฒ่าๆผงกหัวขึ้น ไก่พาลีก็เตะถูกตรงคอชักดิ้นอยู่สักประเดี๋ยวเดียวก็ตาย

จึงเกิดเป็นปากเสียงกันขึ้น คือ ฝ่ายหลวงเมืองเถียงว่า ธรรมดาไก่แพ้ต้องออกปากร้องนี่ตายโดยไม่มีเสียงร้องจะแพ้ไม่ได้ ฝ่ายหลวงพิชัยอาษาก็เถียงว่า เมื่อตายแล้วก็เป็นอันแพ้อยู่เองด้วยไม่กลับมาต่อสู้อีกได้ ต่างโต้เถียงไม่ตกลงกัน

พระเจ้าตากจึงทรงตัดสินให้เอาไก่โทนเฒ่าที่ตายขึ้นขาหยั่งให้ไก่พาลีจิกเตะ ถ้าไก่โทนเฒ่าตกขาหยั่งเป็นแพ้ ถ้าไม่ตกไม่แพ้ ทั้ง 2 ฝ่ายยอมคำตัดสินของพระเจ้าตาก นายบ่อนจึงทำขาหยั่งขึ้นเอาไก่โทนเฒ่าวางลงบนขาหยั่ง ปล่อยไก่พาลีให้เตะจิก

หลวงพิชัยอาษาร้องบอกไก่ของตัวว่า “อ้ายลูกแก้วจิกกระชากเข้าจนตกขาหยั่งให้ได้สิหนา” เป็นที่น่าพิศวงยิ่ง พอหลวงพิชัยอาษาพูดขาดคำลง  ไก่พาลีก็ตรงเข้าจิกดึงกระชากๆจนไก่โทนเฒ่าตกจากขาหยั่งเหมือนรู้ภาษาคน  เมื่อหลวงเมืองยอมรับแพ้แล้ว หลวงพิชัยอาษาก็โดดเข้าอุ้มไก่พาลีขึ้นเชิดชูแทบจะว่าทูนหัว ทูลเกล้า แล้วพรรคพวกก็รับเอาไปเชิดชูจูบกอดกันเสียยกใหญ่เสียงโห่ด้วยความดีใจดังสนั่นหวั่นไหว  ฝ่ายหลวงเมืองหน้าถอดสีด้วยต้องเสียเงินเข้าไปคนละหลายสิบบาท

พระเจ้าตากทรงพระสรวลรับสั่งว่า “เจ้าของหรือก็มีฝีมือมวยและฟันดาบเป็นเทวดา มีไก่ก็มีฝีแข้งเป็นไก่เทวดาอีกด้วย เป็นที่น่าประหลาดเหลือ” ตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นธรรมเนียมไก่ตีกันตายต้องเอาขึ้นขาหยั่ง พึ่งเลิกธรรมเนียมนี้เมื่อสัก 50 ปีล่วงมาแล้ว คือ ถ้าไก่ของใครตายผู้นั้นเป็นไม่ต้องขึ้นขาหยั่ง (ในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

อยู่ต่อมาพระเจ้าตากได้รับท้องตราพระแสพระบรมราชโองการโปรดให้พระเจ้าตากลงไปเฝ้าทูลละออกธุลีพระบาท ณ กรุงศรีอยุธยา จะโปรดเกล้าให้เป็นพระยาวิเชียรปราการครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาษาตามเสด็จพระเจ้าตากด้วย  ก็พอดีมีพม่าข้าศึกยกกองทัพมาล้อม พระนครศรีอยุธยาพระเจ้าตากจึงต้องอยู่ช่วยรบ

ด้วยตระหนักแน่ในพระทัยว่าพระนครศรีอยุธยาจะถึงกาลขาด เหตุที่อธิบดีเมืองและประชาชนมิเป็นธรรม จึงชุมนุมพรรคพวกพลทหารไทยจีนประมาณพันเศษสรรพด้วยเครื่องสาตราวุธ พร้อมทั้งนายทหารผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ คือ พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยอาษา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา ยกออกไปตั้ง ณ วัดพิชัย อันเป็นมงคลสถาน แล้วยกออกจากวัดพิชัยฝ่ากองทัพพม่าไปเป็นเวลาย่ำค่ำ  หลวงพิชัยอาษาถือดาบสองมือคาดเชือกแน่นออกหน้าพลทหารฟันตลุยออกไป พม่าตายหลายคนแตกกระจายเปิดทางให้พระเจ้าตากจึงเสด็จโดยสวัสดิภาพไปทางบ้านข้าวเม่าหยุดพักไพร่พลที่บ้านสามบัณฑิต

ตีฝ่าวงล้อมพม่า

รุ่งขึ้นยกไปถึงบ้านโพธิ์สาวหาร พม่ายกกองทัพติดตามมา พระเจ้าตากเตรียมไพร่พลไว้พร้อมสรรพครั้นกองทัพพม่ายกมาถึง จึงดำเนินนำหน้าพลทหารกับหลวงพิชัยอาษาคู่ชีพของพระองค์ ท่านรบกับพม่าเป็นสามารถพม่าแตกกระจัดกระจายไปเก็บได้เครื่องสาดตราวุธเป็นอันมาก แล้วเลยไปหยุดประทับแรมอยู่ ณ บ้านพรานนก ฝ่ายทหารออกไปเที่ยวหาอาหารพม่ายกมาแต่บางคาง พม่าไล่ติดตามมาจวนถึงที่ประทับ  จึงขึ้นม้าพร้อมด้วยหลวงพิชัยเสนา หลวงหมออาษา ขุนอภัยภักดี หมื่นราชเสน่หา รวม 5 ม้าด้วยกันออกรับกองทัพพม่า ส่วนพระเชียงเงินหลวงราชเสน่หาพร้อมด้วยพลทหารให้ตั้งเป็นปีกกาออกรบแซก 2 ข้าง กองทัพพม่า 30 ม้า แตกย่นหกหลังกลับไปถึงพลเดินเท้าแตกกระจายไปสิ้น

รุ่งขึ้นไปประทับร้อนที่บ้านดง  มีรับสั่งให้หาขุนหมื่นพันทนายบ้านมาเฝ้าจะประสานราโชวาทโดยดี ขุนหมื่นพันทนายบ้านมิได้เชื่อพระบารมีขัดแข็งไม่ยอมมาเฝ้า กลับซ่องสุมผู้คนไว้จะทำร้ายพระองค์ ได้ให้ทหารไปว่ากล่าวเกลี่ยกล่อมแต่โดยธรรมถึง 3 ครั้ง ก็มิได้อ่อนน้อมกลับท้าทายอีก จึงตรัสเป็นผลกรรมของเขาแล้วพอรุ่งขึ้นแต่เช้าก็เสด็จขึ้นม้ากับหลวงพิชัยอาษาพร้อมด้วยพลทหารม้า 20 ฝ่าเข้าไป ขุนหมื่นทหารชาวบ้านคงมากกว่าพันออกต่อสู้ยิงปืนสกัดหน้าหลังทำอันตราย

ด้วยเดชบารมีของพระเจ้าตากจะได้ถูกต้องผู้ใดก็หามิได้ จึงขับม้านำหมู่ทหารบุกรุกไปปืนหักเอาค่ายได้ ไล่ตลุมบอนฟันแทงทหารชาวบ้านล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือก็แตกกระจัดกระจายหนีไปได้ช้างพลายพังรวม 7 ช้าง กับหิรัญสุวรรณธัญญาหารเป็นอันมาก ประทับแรมที่นั่นอีก 1 คืน รุ่งขึ้นก็เลยไปเป็นอันดับไม่มีเหตุอย่างไรได้สัก 3-4 วัน ในวันยกออกจากเมืองปราจีนประทับร้อนหนองน้ำ พม่าไล่ฟันแทงคนซึ่งเมื่อยล้าวิ่งหนีมาตามทาง ทอดพระเนตรเห็นจึงให้นายบุญมีขึ้นมาสวนทางไปดู พบพม่ายกขึ้นมาแต่ปากน้ำเจ้าโล้ทั้งทัพบกทัพเรือก็กลับมากราบทูล จึงสั่งให้พลทหารตั้งปืนตับใหญ่น้อยดาไว้ต่างค่าย แล้วให้คนหาบเสบียงครอบครัวไปก่อน แต่พระองค์กับนายพลทหารประมาณ 100 เศษ เตรียมตัวพร้อมสรรพคอยรับพม่าอยู่ ณ ที่นั้น

ครั้นบ่ายโมงเศษพม่ายกกองทัพมาถึง  จึงเสด็จนำหน้าทหารด้วยหลวงพิชัยอาษา พระเชียงเงิน หลวงชำนาญไพรสณฑ์ นายทองดี นายบุญมี นายแสง ออกไปรับล่อพม่านอกแถวปืนใหญ่น้อยซึ่งดาไว้ พม่ายกกองทัพเรียบเรียงมาจำเพาะในพงแขม ครั้นเข้ามาใกล้ได้ทีจึงให้ยิงปืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถูกพม่าล้มตายเป็นอันมาก พม่าที่ยังอยู่อุดหนุนกันเข้ามาก็ถูกปืนตับยิงย่อยลงอีก พม่าหนุนกันเข้ามาอีก วางปืนตับเข้าโครมสาม พม่าแตกกระจัดกระจายพ่ายไป ตั้งแต่นั้นมาพม่ามิได้ยกติดตามไปอีก ก็เสด็จยกกองทัพไปโดยสวัสดิภาพจนถึงเมืองระยองผู้รั้งเมืองระยองกับกรมการทั้งปวงพากันมาต้อนรับเสด็จ ภายหลังกลับพากันจะทำร้ายพระองค์ ประชุมนัดกันจะเข้าปล้นค่ายในคืนวันนั้น จึงสั่งให้ทหารเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ตรัสให้ดับแสงเพลิงเสียจึงเสด็จด้วยหลวงพิชัยอาษา กับนายทหารอีกรวม 15 นาย ถือปืนและดาบครบมือกันออกเที่ยวตรวจตรารอบค่าย ดูท่าทางข้าศึกพวกเหล่าร้ายยกกำลังล้อมค่ายเข้ามา ห่างค่ายประมาณ 5 วา จึงสั่งยิงปืนพร้อมกันถูกพวกเหล่าร้ายล้มตายเป็นอันมาก จึงรับสั่งให้หลวงพิชัยอาษาพร้อมด้วยนายทหาร 15 นาย ออกไล่ตลุมบอนฟันแทงพวกเหล่าร้ายล้มตายแตกหนีไปหลวงพิชัยอาษาได้ศีรษะขุนจ่าเมืองด้วงหัวหน้าเหล่าร้าย นำมาถวายพระเจ้าตากดีพระทัยนักทรงชมเชยหลวงพิชัยอาษาว่า เป็นยอดทหารเสมอด้วยพระยาสีหราชเดโช (น้อย ยะอิปะ) ทหารเอกแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์

ตามที่พระเจ้าตากยกกำลังไปครั้งนั้น    มีความมุ่งหมายจะเกลี่ยกล่อมประชาชนได้เป็นกำลังมากแล้วจะเลยไปชักชวนพระยาจันทบุรี  รวมกำลังกันยกไปรบกับพม่าข้าศึกที่ตั้งล้อมพระนครศรีอยุธยาให้พ่ายแพ้ถอยไป ด้วยพระยาจันทบุรีคุ้นเคยชอบพอกับพระองค์ท่านมาตั้งแต่เป็นมหาดเล็กมาด้วยกัน        เมื่อปราบปรามพวกเหล่าร้ายสงบแล้วหยุดประทับตั้งเกลี่ยกล่อมราษฏรอยู่ที่เมืองระยองหลายเวลา จึงโปรดให้นายบุญมาน้องพระยาจันทบุรี นายบุญรอด นายบุญมี เป็นข้าหลวงไปเจรจาถวายเมืองกับพระยาจันบุรีให้นายเผือกญวน นักมาเขมรเป็นผู้นำข้าหลวง 3 นาย ไปทางชลมารค ข้าหลวง 3 นาย กลับมาทูลว่า พระยาจันบุรียินดียอมปฏิบัติตามกระแสรับสั่งอีก 10 วัน จะจัดกรมการมาเฝ้านำเสด็จเข้าไปในเมืองจันบุรี ครั้นถึงกำหนดพระยาจันบุรีกลับคิดประทุษร้ายคิดแต่ป้อมค่ายคู ประตูหอรบเชิงเทิน ตระเตรียมโยธาทหารไว้สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธปืนใหญ่น้อยเสร็จ จึงให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้แต่งข้าหลวงไปว่ากล่าวถึง 3 ครั้ง พระยาจันทบุรีก็ไม่ยอมอ่อนน้อม

ตีเมืองจันทบุรี

จึงตรัสสั่งให้โยธาทั้งปวงหุงหาอาหารกินแล้วเหลือนั้นให้ลาดเททุบต่อยหม้อข้าวหม้อแกงเสียจนสิ้น ในเพลากลางคืนวันนี้จะเข้าตีเอาเมืองจันทบุรีให้ได้ ไปกินข้าวเช้าเอาในเมือง  ถ้ามิได้ก็ให้ตายเสียด้วยกันจนสิ้นทีเดียว พอเวลา 3 ยาม ตรัสให้นายทัพนายกองยกกำลังเข้าไปประจำอยู่ทุกด้านพร้อมสรรพ ถ้าเข้าเมืองยังไม่ได้ให้โห่ร้องเข้าได้แล้วให้โห่ร้องเป็นสัญญาณให้รู้ทั่วกัน จึงเสด็จทรงช้างพระที่นั่ง โปรดให้หลวงพิชัยอาษานายทหารผู้ไว้พระทัย ขุมพลทหารหน้าช้างพระที่นั่งทรงขับช้างพระที่นั่งทลายประตูเมืองพังลง

หลวงพิชัยอาษาพร้อมด้วยพลทหารลอดเข้าไปได้ ได้โห่ร้องขึ้นเป็นสัญญาณแก่นายทัพนายกองซึ่งไปประจำอยู่ทุกด้าน ต่างพากันบุกรุกตีหักเข้าไปได้พร้อมกัน ไล่ยิงแทงฟันชาวเมืองแตกตื่นหนีออกจากเมือง พระยาจันบุรีพาบุตรภรรยาหนีลงเรือไปปากน้ำพุทไธมาศ พลทหารไทยจีนจับได้ครอบครัวพิรัญสุวรรณธัญญาหาร ปืนจ่ารงมณทกนกสันคาบศิลาสรรพาวุธทั้งปวงเป็นอันมาก

ส่วนหลวงพิชัยอาษาได้ศรีษะหมื่นซ่องตัวศัตรูสำคัญยุพระยาจันทบุรีมิให้อ่อนน้อมนำมาถวาย รับสั่งให้เอาไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง ก็เสด็จยับยั้งอยู่ ณ เมืองจันบุรี ต้องซ่องสุมผู้คนเสบียงอาหาร ต่อเรือรบอยู่ประมาณ 3 เดือน ได้เรือรบ 100 ลำเศษ  ทราบว่าพระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึกแล้ว บรรดาหัวเมืองทั้งปวงคิดกำเริบตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้นหลายเมือง แผ่นดินแบ่งออกเป็นหลายส่วนเกิดจลาจลรบพุ่งกันหลายพวก ประชาชนได้รับความเดือนร้อนหาที่พึ่งไม่ได้

ทรงพระดำริจะปราบยุคเข็ญให้สงบราบคาบจะก่อกู้พระนครศรีอยุธยาให้คืนคงเป็นราชธานี มีพระราชอาณาเขตของประเทศเมืองสยามเหมือนดังเก่า จึงดำรัสให้นายทัพนายกองทั้งปวงตรวจเตรียมเรือรบครบด้วยโยธาหารสรรพาวุธ ปืนใหญ่น้อยและเรือลำเลียงเสบียงอาหารพร้อมเสร็จ แล้วตั้งข้าหลวงผู้มีความชอบอยู่ครองเมืองจันบุรีและเมืองระยอง จึงเสด็จยกตราทัพเรือ 100 ลำเศษ พลทหารประมาณ 4 พัน ยกจากเมืองจันบุรีมาทางทะเลเข้าปากน้ำเมืองสมุทรปราการ ถ้าเมืองธนบุรีได้รบกัน เจ้าทองอินซึ่งพม่าตั้งไว้ให้รักษาเมืองธนบุรีนั้นครู่หนึ่งก็แตกพ่ายข้าหลวงจับตัวให้ได้ ประหารชีวิตเสีย กรมการหนีไปแจ้งแก่สุกี้นายกกองค่ายโพธิ์สามต้น พระนายกองจึงจัดทหารไทยมอญให้ม่วงญาเป็นนายทัพยกทัพเรือมาตั้งรับอยู่ ณ เพนียด

 

      เส้นทางการรบของทัพพระเจ้าตาก                   พระเจ้าตากประกาศอิสระภาพ   

หลวงพิชัยอาษาเป็นนายทัพหน้าเร่งเรือรบขึ้นมาจะรบกับม่วงญา  รู้ข่าวว่าพระเจ้าตากเสด็จเป็นจอมทัพมาเอง ก็เกรงพระเดชานุภาพมิได้อยู่สู้รบถอยหนีไป ณ ค่ายโพธิ์สามต้น ตรัสให้หลวงพิชัยอาษาบุกเข้าตีค่ายตะวันออกรบกันอยู่พักหนึ่งค่ายพม่าตะวันออกก็แตก จึงเข้าล้อมค่ายตะวันตกซึ่งมีกำแพงที่พระนายกองอยู่รบกันอยู่ 2 วัน ก็ตีหักเข้าค่ายได้ พระนายกองต่อสู้จนตัวตายอยู่ในค่าย จึงเสด็จพร้อมด้วยนายกองพลทหารเข้าไปในค่ายประทับ ณ จวนพระนายกอง  พระยาธิเบศรบดีขุนนางเก่าพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตกอยู่ ณ ค่ายโพธิ์สามต้นนั้น นำราชตระกูลและข้าราชการเก่าในกรุงมาถวายตัวเฝ้า ได้ทรงเห็นความทุกข์ยากลำบากก็ทรงสังเวชสลดพระทัย จึงพระราชทานทรัพย์สิ่งของต่างๆ แก่พระราชวงศ์ษานุวงศ์กับขุนนางโดยทั่วหน้า แล้วเสด็จเข้าไปตั้งพลับพลาประทับอยู่ในพระนคร จึงเสด็จทรงช้างพระที่นั่งเที่ยวประพาสทอดพระเนตรทั่วพระนครเห็นปราสาทและตำหนักใหญ่น้อยทั้งข้างหน้าและข้างในเพลิงไหม้เสียบ้างยังดีอยู่บ้างก็ทรงสังเวช

ดำริจะเข้าตั้งดำรงราชอาณาจักรสืบกษัตริย์ครอบครองรักษาแผ่นดินต่อไป ก็เสด็จประทับแรมอยู่ ณ พระที่นั่งทรงขึ้นบรรมทมอยู่ คืนหนึ่งทรงสุบินว่าพระมหากษัตริย์แต่ก่อนมาขับไล่มิให้อยู่ ครั้นรุ่งเช้าตรัสเล่าให้ขุนนางทั้งปวงฟังแล้วดำรัสว่า เมื่อเจ้าของเดิมยังหวนแหนอยู่แล้วเราชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรีเมืองธนบุรีอยู่เถิดจึงให้เลิกกองทัพกวาดต้อนราษฏรพลเมือง ทั้งปวงไปตั้งอยู่เมืองธนบุรี  ฝ่ายท้าวพระยาข้าราชการไทยจีนผู้น้อยทั้งปวงก็ปรึกษาพร้อมกันอัญเชิญเสด็จเถลิงถวายราชสมบัติเป็นบรมกษัริย์ผ่านพิภพสีมา ณ กรุงธนบุรี ตั้งขึ้นเป็นราชธานีเมื่อพุทธศักราช 1130 ปีชวดสัมฤทธิศก  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งให้หลวงพิชัยอาษาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาท มีตำแหน่งเป็นนายทหารเอกองครักษ์ในพระองค์

สถาปนาเจ้ากรุงธนบุรี

ในปีชวดนั้น พม่ายกกองทัพพล 2 หมื่น เศษเข้ามาทางเมืองไทรโยค  จึงเสด็จยกทัพหลวงไปทางชลมารค  เจ้าหมื่นไวยวรนารถ โดยเสด็จในกองทัพหลวงด้วย ถึงเมืองสมุทรสงคราม ตรัสให้พระมหามนตรีแม่ทัพหน้ายกเข้าตีกองทัพพม่าแตกฉานสิ้นเวลาเดียว พลทหารไทยไล่ตลุมบอนฟันแทงพม่าล้มตายในน้ำบนบกเป็นอันมาก ทัพพม่าพ่ายหนีกลับไปทางด่านเจ้าขว้าวเก็บได้เครื่องสาตวุธในครั้งนั้นเป็นอันมาก

ในปลายปีชวดนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยกพยุหโยธาไทยจีน พร้อมด้วยสรรพาวุธทั้งทางบกทางเรือขึ้นไปตีเมืองพิษณุโลก ซึ่งเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นเจ้าแข็งเมืองอยู่ ได้รบกันเป็นสามารถข้าศึกยิงปืนมากกระสุนปืนเฉียดขา เจ้าหมื่นไวยรนารถ ซึ่งนั่งหน้าเรือพระที่นั่งผ้านุ่งขาด กระสุนเลยไปต้องพระองค์เบื้องซ้ายจึงได้ล่าทัพกลับพระนครครั้นประชวรหายแล้ว  ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองพิมาย ซึ่งกรมหมื่นเทพพิพิธตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครอบครองอยู่ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ โดยเสด็จในกองทัพหลวงด้วย  ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธให้นายทัพมาตั้งรับอยู่ ณ ด่านขุนทดทางหนึ่งด่านจอหอทางหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้พระมหามนตรีกับพระราชวรินทร์สองพี่น้องยกไปตีทางด่านขุนทด  พระองค์เสด็จขึ้นทางด่านจอหอ  โปรดให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถเป็นแม่ทัพหน้า เข้าโจมตีค่ายข้าศึกแตกพ่ายในเวลาเดียวกัน จับได้ตัวพระยาศรีสุริวงศ์ พระยามนตรีกับม่วงญาพม่าซึ่งแตกหนีจากค่ายโพธิ์สามต้นเข้าไปด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธ  ดำรัสให้ประหารชีวิตเสียทั้ง 3 คน

ฝ่ายพระมหามนตรีกับพระราชวรินทร์ก็ตีได้ด่านขุนทด  พระยาวงศาธิราชนายทัพหนีไปเมืองเสียมราฐแดนกรุงกัมพูชาประเทศ  พระมหามนตรีพระราชวรินทร์ตามไปตีเอาเมืองเสียมราฐได้ แต่พระยาวงศาธิราชหนีสูญไปไม่ได้ตัว

ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธทราบว่าเสียค่ายทั้ง 2 และเสียพระยาทั้ง 3 แล้ว ก็ตกพระทัยมิได้ตั้งอยู่สู้รบ พาพรรคพวกหนีไปจากเมืองพิมาย จะขึ้นไปแถบกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงขุนชะนะชาวเมืองนครราชสีมาไปติดตามกรมหมื่นเทพพิพิธได้พร้อมด้วยหม่อมห้ามและบุตรคุมตัวนำมาถวาย  จึงโปรดฯ ตั้งให้ขุนชะนะเป็นพระยากำแหงสงครามครองเมืองราชสีมาสืบไป แล้วเสด็จกลับกรุงธนบุรี และโปรดฯ ตั้งให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถเป็น พระยาสีหราชเดโช มีตำแหน่งเป็น นายทหารเอกราชองรักษ์ตามเดิม

ลุศักราช 1131 ปีฉลูศก เสด็จยกกองทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งแข็งเมืองไม่ยอมอ่อนน้อม พอกองทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราชก็เสด็จยาตราทัพขึ้นบก โดยพระยาสีหราชเดโช เป็นทัพหน้ายกเข้าตีนครศรีธรรมราช กองทัพเมืองนครศรีธรรมราชยกกองมาตั้งรับที่ท่าโพธิ์ ก็พ่ายแพ้แก่กองทัพหลวง หนีกลับเข้าเมือง เจ้านครตกใจกลัวพระเดชานุภาพเป็นกำลัง  มิได้ตั้งอยู่สู้รบ พาพรรคพวกหนีออกจากเมืองไปในเพลานั้น  พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าเมืองได้โดยง่าย เสด็จไปประทัพอยู่ที่นครศรีธรรมราชจัดราชการจนสงบเรียบร้อยแล้ว จึงโปรดตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์  ครองเมืองนครศรีธรรมราช แล้วเสด็จกลับกรุงธนบุรี

ปราบชุมนุมต่างๆ

ลุศักราช 1132 ปีขาลโทศก  ทราบว่าพระเจ้าฝางยกองทัพลงมาตีเอาเมืองพิษณุโลกได้แผ่อำนาจมาจนถึงเมืองชัยนาท จึงดำรัสให้เกณฑ์กองทัพจะยกขึ้นไปปราบพวกเหล่าร้ายฝ่ายเหนือ จึงโปรดให้พระยาพิชัยราชา เป็นแม่ทัพถือพล 5 พันยกไปฝากตะวันตกทัพหนึ่ง โปรดให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพถือพล 5 พันยกไปฝากตะวันออกทัพหนึ่ง ให้ยกล่วงหน้าไปก่อนแล้วพระองค์ทรงเรือพระที่นั่งยาตราพรั่งพร้อมไปด้วยท้าวพระยาเข้าทูลลอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารพลเรือนรวมโวธาหาร 12000 พระยาสีหราชเดโชตามเสด็จในเรือพระที่นั่งด้วย

ฝ่ายพระเจ้าฝางทราบข่าวศึกจึงให้หลวงโกษา (ยัง) ยกกองทัพลงมาตั้งรับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก  จึงตรัสให้พระยาสีหราชเดโชเป็นทัพหน้ายกเข้าตีเมืองพิษณุโลกก็เข้าเมืองได้ ในเพลาคืนวันนั้นหลวงโกษา (ยัง) หนีขึ้นไปตั้งค่ายรับอยู่ที่ปากยังไม่ทันได้รบกันก็เลิกหนีไป ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จเข้าเมืองพิษณุโลก พอกองทัพเจ้าพระยายมราชซึ่งมาทางฟากตะวันออกนั้นขึ้นมาถึง พระราชทานข้าวปลาอาหารทั่วกันแล้ว ให้รีบยกขึ้นไปตีเมืองสว่างบุรี รุ่งขึ้นอีก 2 วัน ทัพพระยาพิชัยราชาซึ่งยกฟากตะวันตกก็ขึ้นมาถึงจ่ายเสบียงอาหารให้แล้ว ให้ยกรีบขึ้นไปให้ทันกองทัพพระยายมราช พระองค์จะเสด็จตามไปทีหลัง

ฝ่ายกองทัพพระยายมราช พระยาพิชัยรายา ยกไปถึงเมืองสว่างบุรีพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้สู้รบกันอยู่ 3 วัน  พระเจ้าผ่างกับพวกก็แตกหนีไปข้างเหนือในเพลากลางคืนกองทัพทั้ง 2 ก็เข้าเมืองได้ แล้วแต่งคนถือหนังสือบอกลงมายังทัพหลวง ณ เมืองพิษณุโลก จึงเสด็จขึ้นไปถึงเมืองสว่างคบุรี ทรงจัดราชการบ้านเมืองให้ราบคาบ แล้วเสด็จลงมาประทับ ณ เมืองพิษณุโลก    จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งข้าหลวงเดิม ซึ่งมีความชอบในการสงครามให้ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงที่เป็นเมืองใหญ่ คือ โปรดให้เจ้าพระยายมราช เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์อยู่ครองเมืองพิษณุโลก ประมวลไพร่พลฉกรรจ์มีอยู่ 15000 คน โปรดให้พระยาพิชัยราชาเป็นเจ้าพระยาสวรรคโลกมีไพร่พลอยู่ 7 พัน ให้พระยาสีหราชเดโชเป็นพระยาพิชัย มีไพร่อยู่ 9 พัน

โปรดให้ทั้ง 3 เมืองนี้มีอำนาจประหารชีวิตผู้กระทำความผิดโทษถึงตายได้ด้วย ทรงเห็นยังอยู่ในข่ายปราบเสี้ยนหนามแผ่นดิน และเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ หาไม่การบังคับบัญชาระวังกีดขวางข้าศึกจะมาย่ำยีจะไม่เฉียบขาดได้เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับกรุงธนบุรี ทรงเรียกพระยาพิชัยให้เข้าไปเฝ้าโดยเฉพาะ ทรงรับสั่งอาลัยในพระยาพิชัยซึ่งเป็นคู่ร่วมทุกข์สุขอาบเหงื่อต่างน้ำมาด้วยพระองค์ ยังไม่เคยห่างไกลพระองค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ต้องห่างไกลกันครั้งนี้ก็ด้วยความจำเป็น หาผู้ไว้วางพระทัยเช่น พระยาพิชัย ไม่ได้

พระยาพิชัยถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าก็เหลือที่จะอาลัยในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทซึ่งได้ทรงพระมหากรุณาชุบเกล้าฯมาไม่อยากจะห่างไกลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แต่หากเมืองพิชัยเป็นเมืองสำคัญยิ่งดังทรงรับสั่ง ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นข้าจงรักภักดีในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจำต้องอยู่พิทักษ์รักษาให้ข้าศึกมาย่ำยี่ได้ ให้สมกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไว้วางพระทัย”  จึงพระราชทานเครื่องยศแก่พระยาพิชัยเสมอด้วยเจ้าพระยาสุรสีห์  อนึ่ง นายบุญเกิดคนใช้ของพระยาพิชัย ที่เสือกัดนั้นได้ออกรบข้าศึกด้วยพระยาพิชัยเสมอ ทรงรู้จักแลชมความองอาจกล้าหาญมาเนืองๆ จึงโปรดตั้งให้เป็น หมื่นหาญณรงค์นายทหารคนสนิทของพระยาพิชัย แล้วเสด็จกลับกรุงธนบุรี

เมื่อพระยาพิขัยขึ้นไปครองเมืองพิชัยตามคำสั่ง ได้ทราบว่าบิดาถึงแก่กรรมเสียแล้ว ยังอยู่แต่มารดาจึงใช้ให้ทหารไปตามตัวมาหา พอมารดามาถึง ก็หมอบกราบไม่เงยหน้าดูเพราะความกลัวด้วยยังไม่ทราบว่าเป็นบุตรของตัว  พระยาพิชัยรีบลุกไปจับมือมารดาไว้ห้ามกราบไหว้ พลางกราบลงกับเท้ามารดา แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ได้เที่ยวซัดเซพเนจรไปให้มารดาฟังตั้งแต่ตนจนได้มาครองเมืองพิชัย เมื่อมารดาทราบว่าท่านเป็นบุตรก็ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างสุดปลื้ม แต่ก่อนชาวบ้านเรียกมารดาว่านางนั้นยายนี่ ต้องกลับเรียกว่า แม่คุณใหญ่นายจวนไปตามกัน  อนึ่ง พระยาพิชัยได้ทราบว่า นายเที่ยงบ้านแก่ง นายเมฆบ้านท่าเสา ซึ่งเป็นครูฝึกหัดมวยให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกตัวมาหากระทำความเคารพทั้ง 2 เหมือนดังเป็นศิษย์อยู่ กระทำให้คนทั้ง 2 รู้สึกปราบปลื้มภูมิใจหาสิ่งใดเปรียบมิได้ พระยาพิชัยจึงตั้งให้คนทั้ง 2 เป็นกำนันปกครองราษฏรในตำบลที่ตนอยู่ต่อไป เพื่อสนองคุณคนทั้ง 2 ซึ่งได้อุปการะท่านมาดังกล่าว

ในปีขาลนั้น โปมยุง่วน พม่าผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ยกกองทัพพม่าทัพลาวลงมาตีเมืองสวรรคโลก เข้าตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ เจ้าพระยาสวรรคโลกก็เกณฑ์ไพร่พลขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินกำแพงเมืองต่อรบ ป้องกันเมือง เป็นสามารถพระยาพิชัย ยกกองทัพไปช่วย พร้อมด้วยกองทัพเมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัยตีทัพพม่าแตกพ่ายหนีกลับเมืองเชียงใหม่  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชดำรัสให้เกณฑ์กองทัพจะเสด็จออกไปตีเมืองเชียงใหม่ เสด็จไปตั้งชุมนุมทัพอยู่ ณ เมืองพิชัย รวมพลได้ 15000 คน จึงเสด็จยกพยุหโยธาไปเมืองเชียงใหม่

ฝ่ายโปมยุง่วน พม่าผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ ก็แต่งทัพพม่าทัพลาว ยกออกมาตั้งค่ายรับนอกเมือง ทัพหัวเมืองมีเมืองพิชัย เมืองพิษณุโลก เมืองสวรรคโลค ซึ่งเป็นกองทัพหน้าก็พร้อมกันยกเข้าตีค่ายพม่าแตกเลิกถอยเข้าเมืองกองหน้าก็ยกติดตามล่วงเข้าไปในกำแพงดินชั้นนอกแล้วตั้งค่ายรายล้อมกำแพงชั้นในไว้ทัพหลวงก็ยกเข้าไปตั้งค่ายใหญ่ในกำแพงเมืองดินแล้วดำรัสให้ทัพหัวเมืองกองหน้า ยกพลปล้นเอาบันไดพาดปีนกำแพงเมืองในเพลากลางคืน 3 ยามเศษ พลทหารพม่า และลาวชาวเมืองต่อรบต้านทานอย่างทรหดจนเพลารุ่ง พลทหารไทยเข้าหักเอาเมืองมิได้ก็ล่าถอยออกมา

พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นจะเอาชนะไม่ได้ในครั้งนี้ จึงให้เลิกทัพหลวงล่วงมา 1 วัน จึงให้กองทัพหัวเมืองเลิกถอยตามหลังมาพม่าก็ยกเลาะลัดป่าก้าวสกัดติดตามยิงปืนขนาบหน้าหลัง กองทัพหัวเมืองก็ถอยหนีย่นลงมาจนกระทั่งถึงทัพหลวง อันตั้งหยุดประทับรับอยู่ ณ เขาช่องแคบ  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถอดพระแสงดาบไล่ต้อนไพร่พลในกองทัพหลวงออกช่วยพลหัวเมืองรบกับพม่า ไล่ตลุมบอนฟันแทงถึงอาวุธสั้น สู้รบกันเป็นสามารถพลพม่าล้มตายมากกว่าก็แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีไป ก็เสด็จดำเนินสวัสดิภาพจนถึงท่าเมืองพิชัย เสด็จลงเรือพระที่นั่งโดยกลับคืนยังกรุงธนบุรี

ลุศักราช 1134 ปีมะโรงจัตวาศก โปสุพลาพม่า ซึ่งมาอยู่ช่วยรักษาเมืองเชียงใหม่ ยกกองทัพลงมาตีเมืองลับแลแตก แล้วยกมาตีเมืองพิชัย ตั้งค่าย ณ วัดเอกาในคลองคอรุม  พระยาพิชัย จัดการป้องกันเมืองเป็นสามารถ เจ้าพระยาสุรสีห์ผู้ครองเมืองพิษณุโลกก็ยกกองทัพขึ้นมาช่วย ยกเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกับทัพพระยาพิชัยต่อรบกันถึงอาวุธสั้น พระยาพิชัยถือดาบ 2 มือ คาดด้ายแน่น  นำหน้าทหารเข้าตลุมบอนฟันแทงพม่าล้มตายเป็นอันมาก พม่าต้านทานไม่ได้ก็แตกพ่ายหนีกลับไปเมืองเชียงใหม่

ภาพวาดการสู้รบกับพม่าจนดาบหัก

ในปีมะโรงนั้น โปสุพลา ยกกองทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัยยกกำลังออกต่อรบกลางทางใกล้วัดเอกา เจ้าพระยาสุรสีห์ ผู้ครองเมืองพิษณุโลก ก็ยกทัพขึ้นมาช่วยอีก  พระยาพิชัยถือดาบ 2 มือ คาดด้ายแน่นตามเคยคุมพลทหารออกไล่แทงพม่าจนดาบหักคามือเล่มหนึ่ง  หมื่นหาญณรงค์ นายทหารคู่ชีพของพระยาพิชัยนั้น กระสุนปืนพม่ายิงมาถูกหมื่นหาญณรงค์ตรงอกทะลุหลังล้มฟุบลงขาดใจตาย  ในขณะนั้นพระยาพิชัยเห็นหมื่นหาญณรงค์ถูกกระสุนปืนข้าศึกตายดังนั้นก็ตกใจอาลัยหมื่นหาญณรงค์ผู้เพื่อนยากยิ่งนัก เลยดาลโทสะเข้าไล่ตะลุมบอนฟันแทงพม่ามิได้คิดแก่ชีวิต พม่าต้านทานไม่ไหวก็แตกพ่ายไป พระยาพิชัยกลับมากอดศพหมื่นหาญณรงค์ร้องไห้รำพันถึงความทุกข์ยาก เป็นคู่ร่วมชีวิตจิตใจมาด้วยกันพลอยให้ไพร่พลในกองของพระยาพิชัยร้องไห้เศร้าสลดใจด้วยความสงสารนายของตัวไปตามกัน เมื่อค่อยสงบความโศกลงแล้ว จึงให้ไพร่พลหามศพหมื่นหาญณรงค์กลับเข้าเมืองกระทำณาปนกิจให้สมเกียรติยศ  ตั้งแต่นั้น พระยาพิชัยจึงได้ชื่อว่า พระยาพิชัยดาบหัก ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเล่ม 2 นั้นแล้ว

ได้สมญานาม "พระยาพิชัยดาบหัก"

ลุศักราช 1136 ปีมะเมียฉอศก  สมเด็กพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เกณฑ์กองทัพในกรุงและหัวเมืองฝ่ายเหนือ เสด็จไปชุมนุมพลอยู่ที่เมืองตากพร้อมสรรแล้ว  โปรดให้พระยาจักกรีเจ้าพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพหน้า          พระยาพิชัยดาบหักเป็นทัพหน้าของทัพหลวง  ยกขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ตีได้เมืองลำปาง เมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ ด้วยกำลังของกองทัพหน้าทั้งสิ้น กองทัพหลวงและกองทัพหน้าของกองทัพหลวงมิได้ต่อรบ โปรดให้เจ้าพระยาจักกรีอยู่ช่วยจัดราชการที่เชียงใหม่ จนกว่าจะสงบราบคาบ แล้วเสด็จกลับมาในระหว่างทางได้ทราบว่าพม่ายกกองทัพเข้ามาทางด่านเมืองกาญจนบุรี  จึงรีบเสด็จยกองทัพออกไปตั้งรับ พระยาพิชัยดาบหักตามเสด็จในกองทัพหลวงด้วยได้สู้รบกับพม่าช้านาน กองทัพพระยาจักกรีก็กลับจากเชียงใหม่ก็มีใบบอกลงกราบทูลว่า โปสุพลา โปยุง่วน แม่ทัพพม่า จะยกกองทัพลงมาตีเชียงใหม่คืน

จึงโปรดให้พระยาจักกรีเป็นแม่ทัพ เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้ายกขึ้นไปช่วยป้องกันเมืองเชียงใหม่ ฝ่ายแม่ทัพพม่าทราบว่าทัพไทยยกขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่จึงถอยทัพไปตั้งอยู่เมืองเชียงแสน เจ้าพระยาจักกรียกไปถึงเมืองเชียงใหม่กำลังตระเตรียมจะยกไปตีพม่า ซึ่งตั้งอยู่เมืองเชียงแสน ก็พอดีได้รับหนังสือบอกว่าอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่พม่ายกองทัพมาทางตะวันตกจะตีเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้ง 2 จึงรีบกลับทัพลงมา พอพม่าตีเมืองสวรรคโลกเมืองสุโขทัยได้ เจ้าพระยาทั้ง 2 จึงรีบยกไปเมืองพิษณุโลกจัดการป้องเมืองโดยกวดขัน แม่ทัพพม่าจึงแบ่งไพร่พลไปตีเมืองพิชัยได้แล้วก็ยกมาตั้งค่ายล้อมเมืองพิษณุโลกไว้   สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยกกองทัพขึ้นมาช่วยเมืองพิษณุโลก พระยาพิชัยดาบหักยังคงอยู่ในกองทัพหลวงได้สู้รบกับพม่านานแต่ในเมืองพิษณุโลกขาดเสบียงจึงจำเป็นต้องยกออกจากเมืองตีแหกค่ายพม่าหนีไป พม่าเข้าเมืองพิษณุโลกได้ก็พอดีพระเจ้าอังวะทิวงคตลง เรียกกองทัพกลับไปกรุงอังวะ

จึงโปรดให้พระยาพิชัยดาบหักยกกลับไปบ้านเมือง พระยาพิชัยดาบหักรวบรวมผู้คน ซึ่งแตกหนีพม่าเที่ยวซุกซ่อนอยู่ตามป่าเขา ให้กลับมาอยู่ตามภูมิลำเนาเดิมเป็นปกติแล้ว จึงยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพระยานครสวรรค์ตามตีพม่าไปทางด่านเมืองตาก จับพม่าได้ 49 คนส่งลงไปถวาย ณ กรุงธนบุรี

ครั้นสิ้นแผ่นดินพระเจ้าตาก พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงเทพมหานคร โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีเรียกตัวพระยาพิชัยดาบหักลงไปถามว่า จะยอมอยู่ทำราชการต่อไปหรือไม่ ถ้ายอมอยู่จะเลี้ยงเพราะหาความผิดมิได้  พระยาพิชัยดาบหักตรองเห็นว่าขืนอยู่ไปคงได้รับภัยไม่วันใดก็วันหนึ่งเพราะตัวท่านเป็นข้าหลวงอันสนิทของ พระเจ้าตาก ย่อมเป็นที่ระแวงแก่ท่านผู้จะเป็นประมุขแผ่นดินต่อไป ทั้งประกอบด้วยความเศร้าโศกอาลัยในพระเจ้าตากเข้ากลัดกลุ้มในหทัย สิ้นความอาลัยในชีวิตของตน  จึงตอบไม่ยอมอยู่จะขอตายตามเสด็จพระเจ้าตาก ขอฝากแต่บุตรชายให้ได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบสกุลต่อไปในภายหน้าฉะนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิตเสีย

 
ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก

เมื่อพระยาพิชัยดาบหักสิ้นชีพ อายุได้ 41 ปี แก่กว่าสมเด็จพระอนุชาธิราชมหาสุรสีห์ 1 ปี จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายเสนาบดีมีท้องตราถึงผู้ครองเมืองพิชัยใหม่ให้รับรับบุตรชายพระยาพิชัยดาบหัก จึงเป็นข้าราชการต่อไปตามควรแก่ความสามารถ  ฉะนี้ บุตรหลานพระยาพิชัยดาบหัก เป็นข้าราชการลำดับลงมาจนทุกวันนี้   แลในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สืบตระกูลได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “วิชัยขัทคะ” นามนี้ถ้าแปลอนุโลมตามความเข้าใจก็คือ ดาบวิเศษของพระยาพิชัยดาบหัก นั้นเอง

“..ชาวเมืองอุตรดิตถ์ มีความสำนึกและภูมิใจในวีรกรรมของพระยาพิชัยดาบหัก ทั้งในแง่ของความเก่งกาจ ความกล้าหาญ และความกตัญญูจงรักภักดี พร้อมทั้งยกย่องท่านดุจบิดาเสมอมา..




ขอบคุณ  :  1. หนังสือประวัติพระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ ปี 2524

                 2. ที่มาของภาพประกอบเรื่อง จากพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดพระยาพิชัย และ                                                       จาก https://www.google.co.th/search?q=รูปวาดพระยาพิชัยดาบหัก&tbm

                 3. http://pitloknews.com/main/?p=162395

                 4. https://pantip.com/topic/37225180/desktop

                 5. https://www.youtube.com/results?


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม ต.บ้านด่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

หลวงพ่อกล่อม พรมสโร วัดป่ากะพี้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปญโญ) วัดเจดีย์คีรีวิหาร อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์