ต่างชาติแห่แปลงเพศในไทย
นายพงศกร จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการสื่อสาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดนักท่องเที่ยวชาวอาเซียนที่รักษาสุขภาพ(เมดิคัล ทัวร์ริสซึ่ม) กำลังสนใจมาผ่าตัดแปลงเพศในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากไทยมีโรงพยาบาลและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญได้รับมาตรฐานระดับโลกถึง 35 โรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายยังถูกกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเกาหลีถึง 40% อีกทั้งนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียน ยังมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน และเวลาในแต่ละประเทศไม่แตกต่างกันมาก จึงคาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้สัดส่วนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาแปลงเพศจะมี ตัวเลขเติบโตประมาณ 10%
นอกจากนี้ในส่วนประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย และกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง ยังถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เดินทางมาในระยะไกล เพื่อมารักษาด้านการรักษาโรคและอยู่พักฟื้นนาน และทั้งนี้ผู้ที่มารักษาจะนำครอบครัวจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 คนมาเมืองไทยด้วย นอกจากจะมาดูแลผู้ป่วยแล้วยังท่องเที่ยวและช็อปปิ้งและพักอาศัยในโรงแรม ระดับหรูหรา ทำให้เกิดรายได้ทางการท่องเที่ยวสะพัดภายในประเทศ
“ยอมรับได้ว่าขณะนี้ประเทศไทยมีชื่อเสียงเรื่องผ่าตัดแปลงเพศ โดยได้รับความไว้วางใจจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะ พม่า และกัมพูชา ที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่ามีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะมีเงินมากจนถึงขนาดอยาก ผ่าตัดแปลงเพศ แต่จริง ๆ แล้วประเทศเหล่านี้ก็ยังมีกลุ่มคนมีฐานะแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ส่วนในกลุ่มประเทศรัสเซีย หรือ จีน ซึ่งเคยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์มาก่อน เมื่อเปลี่ยนระบบทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาในประเทศตนเองยังสูงกว่าเยอะ และจากการเข้าร่วมโรดโชว์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ทำให้ต่างชาติรู้จักและเห็นศักยภาพของการแพทย์ของเมืองไทยด้วย ว่านอกจากจะมารักษาแล้วก็ยังคุ้มค่าเพราะได้พาครอบครัวมาท่องเที่ยวต่อได้ ด้วย"
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีคู่แข่งที่สำคัญ คือ สิงคโปร์และมาเลเซีย ที่มีจุดแข็งเกี่ยวกับระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และได้รับความไว้วางใจเนื่องจาก ถูกมองว่าเป็นประเทศเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อนทำให้เกิดความน่าเชื่อถือตามมา อีกทั้งการทำการตลาดด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั้งสปาและการแพทย์ยังลง ทุนอย่างเต็มที่ผ่านการโฆษณาต่าง ๆ จึงทำให้ นักท่องเที่ยวบางประเทศ โดยเฉพาะจีนเลือกใช้บริการด้านการแพทย์เชิงสุขภาพที่สิงคโปร์มากที่สุด
นายพงศกร กล่าวว่า หากเปิดประชาคมเศรษฐกิจเสรีอาเซียน (เออีซี) แล้วภาครัฐควรที่จะหันมาพัฒนาโรงพยาบาลในภูมิภาคให้มากขึ้น เนื่องจากมีงบประมาณและโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่แล้ว และยิ่งที่ใกล้พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวยิ่งต้องเร่งพัฒนา เพื่อให้ใช้บริการได้หลากหลายและดึงดูดรายได้เข้าประเทศ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันบุคลากรด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์เฉพาะทางต่างๆกำลังขาดแคลนเป็นอ ย่างมาก เพราะจากอัตรามาตรฐาน แพทย์1คนจะต้องดูแลคนไข้ 500 คน แต่ ปัจจุบันแพทย์ในกรุงเทพฯ 1 คนต้องดูแลนักท่องเที่ยว ถึง 700 คน ส่วนในภูมิภาค แพทย์ 1 คนต้องดูแลแพทย์ถึง 2,000 คน
นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า ธุรกิจสปา ถือเป็นเมดิคัล ทัวร์ริสซึ่มอย่างหนึ่งที่ทำมูลค่าให้การท่องเที่ยวสูง โดยตลาดสปาในไทยมีมูลค่า 14,000 ล้านบาทและปีนี้จะยังคงโตต่อถึงประมาณ 16,000 ล้านบาท และจากกระแสท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ อื่นๆในทวีป แถบเอเชีย-แปซิฟิก 7 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ พบว่า สปาไทยยังได้รับความนิยมสูงสุด จากอานิสงค์ของนักท่องเที่ยวที่เดินทาง มาแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะตลาดกลุ่มอาเซียนบวก6 ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม จีน อินเดีย ลาว และกัมพูชา เพราะเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกับสปาไทยและเป็นตลาดที่อยู่ใกล้ ขณะที่ตลาดยุโรปเช่น รัสเซีย ตุรกี นั้นมีกำลังซื้อสูง หันมาให้ความสนใจกับวิธีการผ่อนคลายและบำบัดแบบตะวันออกมากขึ้น
ขอบคุณ : http://www.dailynews.co.th |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น