ความลับของการอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงาม

                                                                    
"การอบสมุนไพร" เป็นการช่วยล้างพิษออกทางเหงื่อ ผิวหนังของคนเราจะเป็นส่วนที่กว้างที่สุด ดังนั้นการขับสารพิษส่วนเกินออกทางเหงื่อจึงได้ผลดีมาก เวลาที่ร่างกายทุกส่วนเกิดความร้อนขึ้นพร้อมกัน มันจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัว เลือดก็จะพรั่งพรูกันขึ้นมาที่ผิวหนังเป็นจำนวนมาก พาเอาสารเคมีส่วนเกิน เช่น โซเดียม โปตัสเซียม หรือสารอื่น ๆ ที่เรารับเข้าไปเกินความต้องการนั้น ถูกหลั่งออกมากับเหงื่อและในเวลาเดียวกันนั้น "การอบสมุนไพร" นอกจากจะล้างพิษออกไปแล้ว เลือดที่มาเลี้ยงที่ผิวหนังมากขึ้น ยังช่วยนำพาสารอาหารที่ดี ๆ มาให้ผิวหนัง ผิวหนังจึงสวยขึ้นด้วย นอกจากนี้หาก "อบสมุนไพร" อย่างถูกวิธี จะทำให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายแข็งแรงสดชื่นและกระปรี่กระเปร่ายิ่งขึ้น ทั้งยังบรรเทาความเมื่อยล้า บำบัดความซึมเศร้าได้ดีอีกด้วย

         

ในระยะแรกหมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำสมุนไพรต่าง ๆ มาใช้รักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่น ปรุงเป็นยากิน  ยาทาและยาพอก หลังจากนั้นจึงมีการคิดค้นวิธีใช้สมุนไพรแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก โดยเริ่มจากการนำพืชสมุนไพรต่าง ๆ มาต้มในน้ำ (ซึ่งมักจะเป็นพืชสมุนไพรเพียงชนิดเดียวเท่านั้น) เพื่อให้สรรพคุณทางยาของสมุนไพรละลายออกมากับน้ำร้อน จากนั้นจึงเอาน้ำร้อนที่มีส่วนผสมของยาสมุนไพรดังกล่าวมาผสมกับน้ำธรรมดาให้อุ่นลง แล้วนำไปอาบ เมื่อน้ำอุ่นซึ่งอุดมไปด้วยสรรพคุณของพืชสมุนไพรรินหลั่งสัมผัสกับผิวกายแล้ว ตัวยาในสมุนไพรจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อทุก ๆ ส่วนร่างกาย ทำให้เกิดความสดชื่น สบายเนื้อสบายตัวขึ่นมานั่นเอง

                                    

จากหลักการขั้นต้นนี้ ต่อมา "การอาบน้ำสมุนไพร" จึงได้พัฒนากลายมาเป็นการ "การอบสมุนไพร" ด้วยการนำสมุนไพรหลาย ๆ ชนิดมาผสมรวมกัน แล้วต้มในน้ำจนเดือด ปล่อยให้ไอน้ำร้อนระเหยออกมา สัมผัสเรือนร่างของผู้อบสมุนไพร ซึ่งนั่งอยู่ในกระโจมอก วิธีนี้จะทำให้สรรพคุณต่าง ๆ ในพืชสมุนไพรแทรกซึม เข้าสู่ผิวหนังทุกส่วนของร่างกายได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังแพร่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจคือ ทางจมูกและทางปาก ได้ดีอีกด้วย

"การอบสมุนไพร" มี 2 แบบ คือ การอบแห้ง (Sauna) คล้ายการอยู่ไฟ และการอบเปียก (Steam) ที่คนไทยนิยมมากในปัจจุบัน
  • "การอบแห้ง (Sauna)"  เป็นวิธีการอบตัวที่พัฒนามาจากประเพณีไทยดั้งเดิม ซึ่งมีพิธีกรรมต่าง ๆ ที่รักษาขวัญกำลังใจ สำหรับมารดาหลังคลอด มีการอาบน้ำต้มสมุนไพรและทาตัวด้วยขมิ้น เพื่อบำรุงรักษาอาการอักเสบที่ผิวหนัง และนิยมอยู่ไฟหลังคลอดด้วยการนอนยนแคร่ไม้ มีกองฟืนให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและการใช้ความร้อนจากกองฟืนนั้นจะช่วยกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น มีการนำเตาถ่านมาใช้ประกอบการรักษาผิวพรรณและลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นห้องอบแห้ง
  • "การอบเปียก (Steam)"  เป็นวิธีการอบตัวด้วยไอน้ำ ที่ได้จาการต้มสมุนไพร เป็นการบำบัดรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นจากประสบการณ์ การนั่งกระโจมของหญิงหลังคลอดโดยใช้ผ้าทำเป็นกระโจม หรือนั่งในสุ่มไก่ที่ปิดคลุมไว้มิดชิด มีหม้อต้มสมุนไพรเดือดเป็นไอให้อบและสูดดมไอน้ำได้ และปัจจุบัน ได้นำเอาวิธีการเข้ากระโจมมาฟื้นฟูและพัฒนาให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่สมัยใหม่ โดยทำเป็นห้องอบไอน้ำสมุนไพรที่ทันสมัย ใช้หม้อต้มสมุนไพรที่มีท่อส่งไอน้ำเข้าไปภายในห้องอบ หรือทำเป็นตู้แล้วเข้าไปนั่งอบตัว ส่วนประกอบของสมุนไพรที่ใช้อาจแตกต่างกันได้ตามวัตถุประสงค์ เพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ช่วยขับเหงื่อ คลายความเครียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง และลดอาการปวดตามข้อและกระดูก
                    

การอบสมุนไพร ตัวด้วยความร้อนนับเป็นวิธีการที่ทางการแพทย์ในปัจจุบัน  ยอมรับว่าสามารถช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลืองบริเวณผิวหนังดีขึ้น  ส่วนไอน้ำของสมุนไพรจะมีสรรพคุณตามคุณสมบัติของสมุนไพรนั้น ๆ  ซึ่งส่วนใหญ่ช่วยให้ร่างกายเกิดความสดชื่น
 
คุณประโยชน์ของการอบสมุนไพร
"การอบสมุนไพร" เป็นการล้างพิษอีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันมานานแล้ว มีสรรพคุณเป็นที่ยอมรับมาแต่ครั้งโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน แล้วว่าเป็นเลิศในการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม "การอบสมุนไพร"เป็นการใช้ประโยชน์ของ "ความร้อนบำบัด" นั่นเอง "การอบสมุนไพร" เป็นกรรมวิธีในการรักษาสุขภาพอนามัยแบบพื้นบ้าน
เดิมที "คุณประโยชน์ของ การอบสมุนไพร" จะใช้ในหมู่สตรีที่คลอดบุตรใหม่ ๆ ชาวอีสานเรียกว่า อยู่กรรม ซึ่งจะต้องมีการอาบน้ำร้อน ดื่มน้ำร้อนที่เป็นน้ำต้มสมุนไพร และนอนย่างไฟ บนแคร่ไม้ไฝ่ที่ปูรองพื้นด้วยสมุนไพร เช่น ใบหนาด ใบเป้า นอกจากนี้ยังใช้กับคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุหกล้ม รถชน ตกต้นไม้ ช้ำใน จะใช้วิธี "การอบสมุนไพร"โดยการย่าง เพื่อให้การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้สม่ำเสมอ 
 การแพทย์แผนโบราณของไทยได้กล่าวถึง "ประโยชน์ของการอบสมุนไพร" ไว้ดังนี้
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
  • ช่วยบรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง
  • ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง มีความคล่องตัวมากขึ้นไม่อึดอัด
  • ทำให้ผดผื่นคัน และอาการอักเสบของผิวหนังกายไปได้
  • ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย อันก่อให้เกิดโรคกลากเกลื้อน ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงเกลา สะอาด มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะเส้นโลหิตจะขยายออกทำให้โลหิตไหลเวียนสะดวกขึ้น ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด
  • ช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ให้คืนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น เสริมสร้างสุขภาพของผู้ที่อ่อนแอ ขี้โรค ให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดี กระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวแรงดีขึ้น สุขภาพจิตผ่องใส สุขภาพกายแข็งแรง
  • ทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดเข้าอู่ได้เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา การอบสมุนไพรจะทำให้สุขภาพร่างกายของสตรีหลังคลอดดีขึ้น แต่จะต้องทำการอบสมุนไพรหลังการคลอดประมาณ 10 วัน จึงจะได้ผลดี ว่ากันว่าสตรีหลังคลอดที่ผ่านการอบสมุนไพรมาแล้วนั้น ผิวพรรรจะผุดผ่องเป็นยองใยยิ่งกว่าเด็กสาว ๆ เสียอีก เพราะการอบสมุนไพร จะทำให้เกิดเลือดฝาดที่มีสีแดงบริสุทธิ์ขึ้นมานั่นเอง
  • ทำให้ใบหน้านิ่มนวล เกลี้ยงเกลา ผิวหน้าปราศจากความมัน และความหยาบกร้าน
  • ช่วยรักษาสิว ฝ้า ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ลบรอยตีนกา ริ้วรอยที่หัวคิ้ว ขอบตา และหน้าผาก
  • ช่วยแก้อาการเหน็บชา อาการชาตามปลายเท้า ปลายนิ้วมือ แขน และขา
  • ช่วยทุเลาอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต และทำให้หายขาดได้
  • ช่วยขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้น และเอ็น ให้เบาบางลง จนกระทั่งเป็นปกติในที่สุด
  • ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่นๆ  ของร่างกาย
 
 
ขอบคุณ  :  http://www.yesspathailand.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม ต.บ้านด่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

หลวงพ่อกล่อม พรมสโร วัดป่ากะพี้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปญโญ) วัดเจดีย์คีรีวิหาร อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์