การเมืองผ่านเครื่องแบบสีกากี (1)
" คอลัมน์ น.ต.ประสงค์พูด "นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นสิริ เมื่อพูดถึง ตำรวจไทย ในยุคนี้ ตำรวจดี ถูกบดบี้ ยัดใส่ถุง ตั้งแต่หัว จรดท้าย เป็นกระบุง ทำตัวยุ่ง รับใช้ นักการเมือง ผู้พิทักษ์ สันติราษฎร์ ที่วาดหวัง กลายเป็นพวก น่าชัง ไม่ได้เรื่อง พิทักษ์แต่ พวกบ้าอำนาจ น่าขัดเคือง ประชาชน พลเมือง ใช่เรื่องตน กายเป็นมือ เป็นไม้ ให้พวกชั่ว ประพฤติตัว เป็นขี้ข้า น่าฉงน ทำทุกอย่าง กางปีกป้อง ให้พวกตน โดยเฉพาะ ไอ้คน อยู่แดนไกล มันหนีคุก ไปกระดุก กระดิกจุ้น สั่งการวุ่น ว่าต้องทำ ที่ตรงไหน ทำอะไร ทำอย่างไร ให้รีบทำ พวกขี้ข้า ต้องรับคำ ตามบัญชา มันยังมี อำนาจ อย่างเบ็ดเสร็จ นางปูเป็น เพียงเจว็ด ในคาถา เป็นนายกฯ ก็เป็นเหมือน หุ่นไล่กา ไม่ประสี ประสา ในการงาน สังคมแตก ผู้คนแยก เป็นฝักฝ่าย เผชิญหน้า ฆ่ากันตาย จนร้าวฉาน ประชาชน คนดี ถูกระราน ทุกๆด้าน อยู่ในขั้น อันตราย แต่งกลอนบทนี้ขึ้นให้ได้อ่านกันท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะคนที่เป็นตำรวจควรจะได้อ่านกันให้มาก และคิดกันให้มากว่าทำไมผู้คนทั้งหลายจึงก่นด่าก่นว่าตำรวจกันอย่างเสียหายด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และรุนแรงขึ้นทุกวันอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน บางครั้งด่าว่ากันด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยปล่อยสัตว์เลี้อยคลานหลายชนิด ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำมาประกอบด้วยก็มี ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเกิดจากการทำงานของตำรวจนั่นเอง ที่ผู้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง หรือเลือกปฏิบัติ ไม่ตรงไปตรงมาเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจทำงานให้ใครกันแน่ เพราะหน้าที่ของตำรวจนั้นต้องทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคมทุกฝ่าย ตรงไปตรงมาตามกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ ความไม่พอใจของผู้คนที่มีต่อตำรวจขณะนี้ ขยายตัวไปทั่วทุกหัวระแหง นำมาซึ่งความไม่ไว้วางใจและความเกลียดชังโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น แม้บางสิ่งบางอย่างที่ผ่านมาจะมีตำรวจบางคน บางหมู่บางพวกทำตัวเป็นมาเฟีย ใช้อำนาจโดยมิชอบ ข่มขู่รีดไถเงิน รับจ้างคุมบ่อน รับจ้างทวงหนี้ เป็นต้นนั้น ก็เป็นเรื่องไม่ดีเฉพาะตัว เฉพาะพวกของตำรวจที่มีพฤติการณ์อย่างนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับตำรวจทั้งองค์กรอย่างเช่นขณะนี้ ตำรวจเสียหายไปหมดทั้งองค์กรตำรวจ ถูกด่าถูกว่าเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ก็บ่อยครั้ง ทักษิณเคยเป็นผู้บริหารเบอร์หนึ่งของบ้านเมืองมาระยะหนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ.2544 – 2549 แม้จะเคยมียศตำรวจเพียง พ.ต.ท. ก็ตาม แต่ด้วยการเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ทักษิณก็เลือกที่จะใช้บริการของตำรวจเป็นฐานแห่งอำนาจ ด้วยการผลักดัน แต่งตั้ง และส่งเสริมพรรคพวกของตนเข้าไปควบคุมตำแหน่งแห่งที่ที่สำคัญฯ ทั้งในองค์กรตำรวจ และกลไกของส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้สนองตอบทางการเมืองของตนเป็นหลัก ซึ่งไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมอะไร เราจึงเห็นตำรวจจำนวนมากเข้าไปมีบทบาท มีตำแหน่งใหญ่โตในหน่วยราชการอื่นๆ รวมถึงองค์กรอิสระต่างๆ รัฐวิสาหกิจ และฝ่ายการเมืองอย่างชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่มียุคใดที่จะมีตำรวจเข้าไปยุ่มย่ามอยู่ในหน่วยงานต่างๆของบ้านเมืองเท่ายุคทักษิณ ลุกลามต่อเนื่องกันมาจนถึงขณะนี้แม้ทักษิณจะกระเจิงไปแล้วเพราะถูกรัฐประหารก็ตาม รัฐบาลที่สืบต่อกันมาในวงศาคณาญาติของทักษิณ โดยรัฐบาลชุดนี้ก็ยังสืบสานการทำงานทางการเมืองของตน ผ่านเครื่องแบบสีกากี คือตำรวจต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังใช้ตำรวจเป็นฐานอำนาจในการทำงานของตน ใครเป็นอุปสรรคต่อผลประโยชน์ของตนในการบริหารจัดการก็ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือดำเนินการ ดังที่ปรากฏเรื่องปรากฏราวให้เห็นในขณะนี้ คำว่า “รัฐตำรวจ” จึงเกิดขึ้น เพราะเป็นมือเป็นไม้ให้นักการเมืองไม่ดีด้วยการพิทักษ์ปกป้องคนเหล่านี้ จนไม่ใช่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ไปเสียแล้วในขณะนี้ ขอบคุณ : http://www.naewna.com |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น