“ระบอบทักษิณ” กำลังเดินตามรอย “ระบอบนาซี”




ระบอบนาซีได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญให้แก่มนุษยชาติเป็นประวัติศาสตร์แห่งความขมขื่น ที่ไม่มีผู้ใดอยากให้หวนคืน ในขณะที่ระบอบทักษิณกำลังสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่สังคมไทย แต่ประวัติศาสตร์หน้านี้จะถูกบันทึกไว้อย่างไร ลองย้อนมองระบอบนาซีแล้วเหลียวมามองระบอบทักษิณ อาจทำให้คาดหมายได้ว่า ประวัติศาสตร์หน้านี้จะถูกบันทึกไว้อย่างไร
      
       ๑. ระบอบนาซี
      
        ภายหลังจากที่ประเทศเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๘(๒๔๖๑) นำมาสู่การประกาศให้ประเทศเยอรมนีปกครองแบบ “สาธารณรัฐ” และนำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญไวมาร์” ๑๙๑๙ (๒๔๖๒) การเมืองภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายขวา(พรรคนาซี)กับพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย(พรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์) เกิดวิกฤตในทางเศรษฐกิจมีคนว่างในช่วงนั้นประมาณ ๖ ล้านคน พรรคนาซีของฮิตเลอร์เข้ามามีบทบาทสำคัญในช่วงนั้น การเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๑๙๓๓(๒๔๗๖) พรรคนาซีได้ที่นั่ง ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ พรคนาซีจึงได้ดึงพรรคประชาชนเยอรมันซึ่งได้ ๘ เปอร์เซ็นต์เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล เมื่อจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วความมุ่งหมายประการสำคัญของพรรคนาซีคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญไวมาร์ ๑๙๑๙ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้ต่อเมื่อมีคะแนนเสียง ๒ ใน ๓ ซึ่งพรรครัฐบาลมีคะแนนเสียงไม่พอ พรรคนาซีจึงพยายามหาทางขอคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองอื่นๆเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ ท้ายที่สุดพรรคการเมืองอื่นก็เห็นชอบตามพรรคนาซี ยกเว้นพรรค SPD(พรรคสังคมนิยม) และพรรค KPD(พรรคคอมิวนิสต์) เท่านั้นที่ไม่เห็นชอบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว สาระสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ การมอบอำนาจในการตรากฎหมายซึ่งเดิมเป็นอำนาจของสภาโดยมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ “ฝ่ายบริหาร” ซึ่งมีผลทำให้ฝ่ายบริหารสามารถออกกฎหมายใดๆก็ได้ตามความประสงค์ของฝ่ายบริหาร การออกกฎหมายมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารดังกล่าวเท่ากับเป็นการตัดอำนาจของสภาและของพรรคการเมืองทั้งหลาย และในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๑๙๓๓(๒๔๗๖) รัฐบาลได้ออกกฎหมายให้พรรคนาซีเป็นพรรคการเมืองที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงพรรคเดียว และต่อมาได้ออกกฎหมายห้ามการมี “สหภาพแรงงาน” ยกเลิกองค์กรที่ทำงานในทางสังคมทั้งหลาย และยกเลิกโครงสร้างของระบบมลรัฐ
      
        หลังจากที่ประธานาธิบดี Hindenburg ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๒ สิงหาคม ๑๙๓๔(๒๔๗๗) ฮิตเลอร์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีก็เข้ารับตำแหน่งดังกล่าวแทน และได้เรียกตำแหน่งดังกล่าวว่า “ท่านผู้นำ” พรรคนาซีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ก็เข้าสู่ “เผด็จการเต็มรูปแบบ” เรียกได้ว่า ฮิตเลอร์ได้อาศัยบันไดประชาธิปไตยขึ้นสู่เผด็จการและนำประเทศเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ นำมาสู่ความพ่ายแพ้และนำมาสู่การปฏิรูประบบรัฐสภาแบบเสียงข้างมาก เป็นระบบรัฐสภาแบบเสียงข้างมากที่ถูกถ่วงดุลโดยศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๔๙ (๒๔๙๒) ที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้
      
       ๒. ระบอบทักษิณ
      
        ได้มีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (ที่มาของวุฒิสภา) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยร่างแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวได้ ยกเลิกความในมาตรา ๑๑๑ ถึง มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๒๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติถึงที่มาและคุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา แล้วใช้ข้อความใหม่ที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และไม่กำหนดลักษณะต้องห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาหลายประการทำให้เกิดผลประโยชน์กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้เกี่ยวข้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการกระทบต่อมาตรา ๒๙๑ (๑) ของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นการแก้ไขที่กระทบต่อ “การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระรมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” การแก้ไขดังกล่าวย่อมส่งผลต่อดุลยภาพของการถ่วงดุลระหว่างอำนาจของฝ่ายข้างมาก (ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ) โดยเฉพาะในเรื่องการถอดถอน การแต่งตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อันจะส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่อย่างอิสระขององค์กรดังกล่าว นอกจากจะกระทบต่อดุลยภาพดังกล่าวแล้วประการสำคัญจะกระทบต่อดุลยภาพของอำนาจในการถ่วงดุลของประมุขของรัฐ(พระมหากษัตริย์)ในกระบวนการตรากฎหมาย ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๑ ซึ่งบัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายในสามสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแล้ว” บทบัญญัติมาตรา ๑๕๑ เป็นกระบวนการถ่วงดุลในการตรากฎหมายโดยองค์พระมหากษัตริย์ แต่หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้สำเร็จย่อมมีผลทำให้พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภาบวกกับจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มีฐานทางการเมืองเดียวกับพรรคฝ่ายข้างมากย่อมมีเสียงในรัฐสภาเกินกว่าสองในสาม ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้คือการกรุยแนวทางที่จะนำไปสู่การเกิดเผด็จการโดยรัฐสภาแบบเบ็ดเสร็จ และในขณะเดียวกัน ย่อมเป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การแก้ไขในครั้งนี้จึงเป็นการแก้ไขที่ส่งผลกระทบต่อหลักการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๑(๑) ของรัฐธรรมนูญ ท้ายที่สุดจะนำไปสู่การทำลายหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง
      
       ๓. บทสรุป 
      
        “ระบอบนาซี”ใช้เสียงสองในสามแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ “ระ บอบทักษิณ” ใช้เสียงสองในสามลบล้างอำนาจของประมุขแห่งรัฐในการถ่วงดุลในกระบวนการตรากฎหมาย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ก. ทั้งสองแนวทางนำไปสู่การทำลาย “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุด” เหมือนกัน ข. ทั้งสองแนวทางจะทำให้เกิด “ระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ” เหมือนกัน และค. ทั้งสองแนวทางจะนำไปสู่วิกฤตของสังคมและการเมือง “ระบอบทักษิณ” กำลังนำพาสังคมไทยเข้าสู่โค้งสุดท้าย สิ่งที่ท้าทายต่อการพิสูจน์ คือ ระบอบทักษิณจะจอดหรือสังคมไทยจะจบ
      
                                                                                           บรรเจิด สิงคะเนติ
                                                                                          ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖
ขอบคุณ  :  http://www.manager.co.th

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม ต.บ้านด่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

หลวงพ่อกล่อม พรมสโร วัดป่ากะพี้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปญโญ) วัดเจดีย์คีรีวิหาร อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์