8 เคล็ดลับเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น
วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ ต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมีสุขภาพดีกว่าการใช้ยาเสียอีก ก้าวร้าว ประสาทหลอน สับสน เลือดออกในกระเพาะอาหาร...อาการที่น่ากลัวเหล่านี้คือผลข้างเคียงจากการใช้ ยา พญ.แซนดรา เควเดอร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายยาใหม่ของศูนย์ประเมินและวิจัยยาประจำองค์การอาหารและยา กล่าวว่า "ทุกครั้งที่คุณใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นยาที่ซื้อเองจากร้านขายยาหรือแพทย์สั่ง คุณย่อมมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงไม่มากก็น้อย หากใช้ยาเป็นประจำความเสี่ยงย่อมเพิ่มสูงขึ้น" นอกจากผลข้างเคียงแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายอีกด้วย ยาหลายชนิดมีราคาสูงแต่ประสิทธิภาพอาจไม่ต่างไปจากวิธีการรักษาที่ไม่ใช้ยา นพ.จอห์น อะบรามสัน อาจารย์ด้านนโยบายสุขภาพจากวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า "การกินอะไรบางอย่างมักไม่ช่วย ให้คุณมีสุขภาพดีเท่ากับการทำอะไรบางอย่าง ผมแนะนำให้เริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตเป็นอย่างแรก ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงขณะที่การใช้ยาบางอย่างเป็นเพียง การรักษาอาการเท่านั้น" เราจะกล่าวถึงยายอดนิยม 8 ชนิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของเราบอกว่า สามารถทดแทนได้ดีด้วยการรักษาแบบไม่ใช้ยา คุณพร้อมหรือยังครับกับการมีสุขภาพดีโดยไม่ต้องพึ่งยา ไอ แทนที่จะใช้ยาน้ำแก้ไอ ลองกินน้ำผึ้ง ลองนึกดูสิว่าน้ำผึ้งแท้ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเคลื่อนตัวจากก้นขวด ไหลผ่านหัวบีบลงบนขนมปังในมือของคุณ คุณสามารถใช้เวลาระหว่างนี้เช็คอีเมลหรือเล่นเฟซบุ๊กได้ด้วยซ้ำ คุณสมบัติด้านความข้นและหนืดเช่นนี้เอง ทำให้น้ำผึ้งเหมาะที่สุดสำหรับใช้แทนยาน้ำแก้ไอ ทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติเดียวกันคือ เคลือบผิวเยื่อบุลำคอและบรรเทาอาการระคายเคือง การศึกษาล่าสุดในวารสาร Archives of Pediatrics & Adolescent Medicine พบว่า น้ำผึ้งหนึ่งช้อนชามีสรรพคุณดีกว่ายาแก้ไอเดกซ์โตรเมโทรฟาน ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญในยาไอโรบิทัสซินดีเอ็ม และยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็กชนิดอื่น นพ.เอียน พอล กุมารแพทย์และรองศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ชุมชนของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียส เตท กล่าวว่า น้ำผึ้งใช้ได้ผลดีกับผู้ใหญ่เช่นกัน ข้อดีที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องมึนงงเหมือนกับยาเดกซ์โตรเมโทรฟาน วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : ลองใช้น้ำผึ้งจากบัควีท ซึ่งมีสีเข้มกว่าและมีสารด้านอนุมูลอิสระมากกว่าชนิดใส (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารด้านอนุมูลอิสระมีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและ มะเร็ง) จิบครั้งละสองช้อนชา เมื่อต้องการระงับอาการไอ เช่น ก่อนนอนหรือก่อนเข้าห้องประชุม ไม่จำเป็นต้องระงับอาการไอจนหยุดสนิท การไอชนิดนี้มีเสมหะช่วงกลางวัน จึงมีประโยชน์ในการขับเสมหะออกจากปอด ปวดหลัง แทนที่จะใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือพาราเซตามอล ลองฝึกโยคะ คุณทำอะไรเป็นอย่างแรกครับเวลาเริ่มมีอาการปวดหลัง หลายคนยืดเหยียดและบิดตัวโดยสัญชาตญาณเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าหลังตึง การศึกษาฉบับหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine ระบุว่า การฝึกโยคะ เพื่อการบำบัด เช่น วินิโยคะ ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังเรื้อรังได้ดี บางคนสามารถลดหรือเลิกใช้ยาแก้ปวดได้ แถมยังช่วยป้องกันโรคตับหรือภาวะระคายเคืองทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาด้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโปรเฟน หรือแอสไพริน) หรือพาราเซตามอล เป็นเวลานาน อาการปวดหลังเรื้อรัง อาจเกิดขึ้นนานเกินสามเดือน นับตังแต่เริ่มมีอาการปวดเฉียบพลัน ผู้ป่วยจึงมีโอกาสที่จะต้องกินยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : อาสาสมัครในการศึกษาได้ฝึกโยคะนาน 75 นาที สัปดาห์ละครั้งโดยฝึกท่างูเห่า ท่ากงล้อ ท่าสะพานโค้ง ท่าผีเสื้อ และท่านักรบ เป็นหลัก ดร.คาเรน เชอร์แมน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยสุขภาพในซีแอตเทิล กล่าวว่า ท่าโยคะ เหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยให้คุณเพิ่มความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งเป็นการป้องกันมีให้เสี่ยงต่ออาการปวดหลังซ้ำอีกครั้ง ปวดศีรษะเป็นประจำ แทนที่จะใช้ยาแก้ปวด ลองกินยาน้อยลง และนอนหลับมากขึ้น คุณอาจไม่เชื่อว่าการกินยาแก้ปวดจะไปกระตุ้นให้ปวดศีรษะมากขึ้น ยาแก้ปวดบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ นพ.ปีเตอร์ โกดส์บาย ผู้อำนวยการศูนย์โรคปวดศีรษะของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า "ภาวะปวดศีรษะจากการใช้ยาเกินขนาด มักพบในผู้ป่วยโรคปวดศีรษะเรื้อรังซึ่งกินยาแก้ปวดติดต่อกันเกิน 15 วัน หรือนานนับเดือน" แพทย์ยังไม่เข้าใจว่าภาวะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พบว่าจะเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในรายที่กินยาแก้ปวดชนิดที่ประกอบด้วยยาหลาย ประเภท เช่น เอกซ์ซิดริน (ประกอบด้วยแอสไพริน พาราเซตามอล และดาเฟอีน) หรือไทลีนอลผสมโคเคอีน วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : หมอโกดส์บายแนะนำให้หลีกเลี่ยงยาที่ประกอบด้วยตัวยาหลายประเภท รวมทั้งพยายามใช้ยาแก้ปวดให้น้อยที่สุด แต่ไม่ควรทนปวดนานเกินหนึ่งสัปดาห์ ขั้นต่อมาคือการรักษาอาการปวดด้วยการนอนหลับ คุณหมอเพิ่มเติมว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดศีรษะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ วิธีปฏิบัติคือฝึกนอนหลับตามเวลาที่กำหนดไว้ วิธีนี้จะช่วยให้อาการปวดศีรษะของคุณค่อย ๆ บรรเทาลงได้ ซึมเศร้าระดับเล็กน้อย แทนที่จะกินยาต้านซึมเศร้า ลองใช้วิธีฝึกฝนสมอง วิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าคือหลีกเลี่ยงความคิดเชิงลบ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการบำบัดกระบวนการคิดโดยใช้สติ เทคนิคนี้คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง เพียงแค่พยายามตั้งสติควบคุมและรับรู้ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อความ คิดหรือารมณ์ พยายามมองสถานการณ์ด้วยมุมมองของคนภายนอก และไม่ปล่อยให้สถานการณ์มาควบคุมจิตใจของตน ข้อมูลจากการศึกษาล่าสุดระบุว่า การบำบัดกระบวนความคิดโดยใช้สติมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาด้านซึมเศร้าในด้าน ป้องกันโรคกำเริบซ้ำ และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ดีกว่าการกินยา ดร.วิลเลม คายเกน จากศูนย์โรคอารมณ์แปรปรวนที่มหาวิทยาลัยเอกเซเตอร์ กล่าวว่า "ผู้ป่วยที่เลิกใช้ยาส่วนใหญ่มีสาเหตุจากผลข้างเคียง จึงเสี่ยงต่อการกำเริบซ้ำ ขณะที่การบำบัดกระบวนความคิดเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดทักษะในการดูแลตนเอง" วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : ลองบำบัดกระบวนความคิดโดยใช้สติ เช่น "การกำหนดลมหายใจภายใน 3 นาที" เป็นวิธีที่ดีสำหรับหยุดยั้งความคิดด้านลบที่วนเวียนอยู่ในหัว วิธีปฏิบัติให้เริ่มด้วยกันตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของร่างกายที่เกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ จากนั้นพยายามเบนความสนใจให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ ณ ปัจจุบัน ในที่สุดสติและความคิดทั้งหมดของคุณจะกลับมาจอจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก นอนไม่หลับ แทนที่จะกินยานอนหลับ ลองนอนดึกบ้างในบางคืน หากคุณมีปัญหานอนไม่หลับที่แก้ไม่ตก ไม่จำเป็นต้องฝืนอีกต่อไปครับ ดร.ลี ริทเทอร์แบนด์ รองศาสตราจารย์ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย กล่าวว่า หากนอนไม่หลับจริง ๆ คุณไม่จำเป็นต้องทนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ให้หาอะไรทำตามใจชอบ และเลื่อนเวลาเข้านอนออกไปอีก การนอนดึกขึ้นอีกเล็กน้อยจะช่วยให้คุณหลับสนิทขึ้น และลดการใช้ยานอนหลับ วิธีนี้ยอมดีกว่าการกินยา เนื่องจากยานอนหลับ อย่างเช่น แอมเบียน ไม่สามารถใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน นพ.คริสโตเฟอร์ วินเทอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของศูนย์เวชศาสตร์การนอนหลับมาร์ธาเจฟเฟอร์สัน กล่าวว่า "ยานอนหลับจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งนี้เพราะร่างกายจะปรับตัวจนเคยชินกับยา" วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : หากคุณเข้านอนเป็นประจำเวลา 4 ทุ่ม แต่นอนไม่หลับจนต้องพลิกไปมาถึงตี 1 ให้ลองเปลี่ยนเป็นเริ่มนอนเวลาตี 1 และตื่นเช้าในเวลาเดิม หมอริทเทอร์แบนด์บอกว่า "ดูเหมือนว่าวิธีนี้อาจทำให้คุณมีเวลานอนลดน้อยลง แต่มันจะทำให้คุณหลับง่าย และสนิทขึ้นในคืนถดไป" หลังจากใช้วิธีนี้ประมาณสองหรือสามสัปดาห์ ลองเลื่อนเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นครั้งละ 20 นาที แล้วสังเกตความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพื่อปรับเวลานอนให้กลับมาเป็นเช่นเดิม ท้องผูก แทนที่จะกินยาระบาย ลองหันมาพึ่งน้ำ โดยปกติแล้วลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่บีบตัวเพื่อขับอุจจาระให้เคลื่อนออกจากร่างกาย แต่ในบางครั้งลำไส้ใหญ่อาจเคลื่อนตัวช้าลง หรือดูดซับของเหลวมากเกินไป (เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น กินอาหารประเภทกากใยน้อยเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังกาย ร่างกายขาดน้ำ หรือเกิดจากยาบางชนิด) ทำให้อุจจาระคั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไปจนกระทั่งแห้งและแข้ง ภาวะนี้เรียกว่าท้องผูก มีข้อมูลชี้ว่าการใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายเคยชินจนเกิดภาวะดื้อยา และต้องเพิ่มปริมาณยาสูงขึ้น (ยาระบายบางชนิดออกฤทธิ์ด้วยการทำให้ลำไส้เล็กบีบเกร็งเพื่อช่วยขับอุจจาระ) วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : ด้วยการดื่มน้ำสองแก้วเต็มก่อนอาหารเช้า เพื่อเพิ่มน้ำในลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระพองตัวและขับถ่ายออกได้ง่าย การกินกล้วยหรือแอปเปิ้ล ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน "กากใยจากผลไม้เหล่านี้ทำให้อุจจาระพองตัวและกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวเป็น จังหวะได้ดี" นพ.อะบรามสันกล่าว "ยาระบายหลายชนิดมีฤทธิ์ระคายเคืองลำไส้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ด้วยการกินผลไม้แทนครับ" โรคหอบหืดและภูมิแพ้ แทนที่จะกินยาเป็นประจำ ลองใช้เครื่องกรองอากาศ ยารักษาโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดส่วนใหญ่ออกฤทธิ์โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนการตอบ สนองของร่างกายต่อสารระคายเคือง แต่เราอยากแนะนำให้คุณจัดการที่ต้นเหตุ นั่นคือคบคุมสารระคายเคืองโดยตรง เทด ไมแอตต์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า การติดแผ่นกรองอากาศทั้งบ้านหรือใช้เครื่องฟอกอากาศ จะช่วยลดสาระระคายเคือง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไอและหอบหืดได้ชัดเจน การศึกษาของเขาเมื่อปี 2551 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Health ระบุว่า แผ่นกรองอากาศชนิดติดตั้งในระบบปรับอากาศช่วยลดสารระคายเคืองจากขนแมวได้ ร้อยละ 55 ลดสปอร์-เชื้อราได้ร้อยละ 75 ลองปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องกรองอากาศนะ ครับ หากต้องการลดการใช้ยา วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : การติดตั้งแผ่นกรองอากาศให้กับระบบปรับอากาศทั้งบ้านมีค่าใช้จ่ายค่อนข้าง สูง ประมาณ 27,000 ถึง 36,000 บาท คุณอาจลองซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีไส้กรองเฮปา (Hepa) มาวางในห้องนอนของคุณ ซึ่งเป็นห้องที่คุณใช้เวลาอยู่นานที่สุด สนนราคาโดยเฉลี่ยไม่เกิน 4,000 บาท แต่ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานในห้องเดียว ไข้หวัดใหญ่ แทนที่จะกินยาต้านไวรัส ลองเพิ่มความชื้นในบ้าน เครื่องมือกำจัดไข้หวัดใหญ่สามารถหาได้จากร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ใช่ร้านขาย ยา อาวุธของคุณคือเครื่องทำความชื้นครับ ไมแอตต์กล่าวว่า "เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีอายุยืนยาวขึ้นในอากาศแห้ง" การศึกษาล่าสุดของเขาในวารสาร Environmental Health ระบุว่า การมีเครื่องทำความชื้นในห้องนอนช่วยให้เชื้อไวรัสมีจำนวนลดลงชัดเจน และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่ต่างจากการกินยาด้านไวรัสทามีฟลู วิธีบำบัดโดยไม่ใช้ยา : ในช่วงที่มีไข้หวัดใหญ่ระบาดไมแอตต์แนะนำให้วางเครื่องทำความชื้นไว้ในห้อง นอนตั้งระดับความขึ้นที่ร้อยละ 50 รุ่นที่คุณภาพสูงอาจมีรังสียูวี หรือไส้กรองพิเศษที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค ประโยชน์อีก ข้อหนึ่งที่คุณจะได้รับก็คือ ผิวพรรณชุ่มชื้นไม่แห้งเป็นขุย สุขภาพดีขึ้นด้วยการหลอกตัวเอง ยาหลอกสามารถใช้ได้ผลแม้กระทั่งในรายที่รู้ว่าตนเองใช้อยู่ หากคุณยังไม่อยากกินยา ลองปรึกษาแพทย์เพื่อขอใช้ยาหลอก นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดได้ทดลองเรื่องยาหลอกกับผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน โดยทดลองให้กลุ่มหนึ่งกินน้ำตาลอัดเม็ดที่ไม่มีตัวยา อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ให้ยาเลย เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าผู้ป่วยกลุ่มที่กินยาหลอกร้อยละ 59 บอกแพทย์ว่ามีอาการดีขึ้น ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษามีอาการดีขึ้นเพียงร้อยละ 35 เทค แคปซัค ผู้วิจัย อธิบายว่า ผู้ป่วยด้วยโรคที่มีแต่อาการจากการบอกเล่าของตนเอง เช่น โรคปวดเรื้อรัง ปวดศีรษะ ซึมเศร้า และนอนไม่หลับ มีแนวโน้มจะมีอาการดีขึ้นจากการใช้ยาหลอก สาเหตุอาจมาจากความศรัทธาต่อแพทย์หรือมีความรู้สึกดี หลังจากได้ทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งแพทย์บางคนเต็มใจที่จะให้การรักษาด้วยยาหลอก เช่น วิตามิน หรือแม้แต่หมากฝรั่ง ซึ่งประโยชน์ของวิธีนี้คือ ช่วยลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น ขอบคุณ : http://health.kapook.com |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น