ช่วย สาสุข : ครูใหญ่โรงเรียนชาวนา ต.หินกอง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด







อาชีพการทำนาข้าว  นับเป็นอาชีพหลักของคนไทยที่มีการสืบทอดองค์ความรู้มาจากบรรพบุรุษแต่โบราณ   จวบจนถึงยุคปัจจุบันอาชีพการทำนาข้าวได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิด  เป้าหมาย รูปแบบ และกระบวนการผลิตไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด  เกษตรกรผู้ทำนา หรือชาวนา  อาจแบ่งได้เป็น 2  กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ  กลุ่มที่มีที่ดินเป็นของตนเอง  และกลุ่มที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง  (กลุ่มที่ 2 ในสายตาของผู้เขียนเองถือว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ส่วนใหญ่ค่อนข้างยากจน และยังเป็นโจทย์ปัญหาที่ทุกรัฐบาลต้องแก้ไขอยู่เสมอ)  


สำหรับครั้งนี้ผมต้องการนำเสนอผลความสำเร็จของชาวนากลุ่มที่มีที่ดินเป็นของตนเอง  ซึ่งชาวนากลุ่มดังกล่าวน่าจะเป็นชาวนาที่สามารถผลิตข้าวคุณภาพดีสู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ  ใช่ละครับเพราะกลุ่มชาวนาที่ว่านี้ คือ กลุ่มชาวนาแนวคิด  เป้าหมาย  รูปแบบและกระบวนการผลิตที่เน้นความปลอดภัยทั้งตัวชาวนาเอง และผู้บริโภค ควบคู่กันไป  เราจะรู้จักพวกเขาในนามการทำนาอินทรีย์  หรือกลุ่มเกษตรกรข้าวอินทรีย์   

การผลิตข้าวอินทรีย์  เป็นระบบการผลิตทางการเกษตรที่เน้นเรื่องของธรรมชาติเป็นสำคัญ ได้แก่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ การรักษาสมดุลธรรมชาติและการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน เช่น ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ก็สามารถทำให้ต้นข้าวที่ปลูกให้ผลผลิตสูงในระดับที่น่าพอใจ 
ตัวอย่างเกษตรกร ที่พลิกชีวิตจากการทำนาเคมี.....สู่การทำนาอินทรีย์  ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง   พึ่งพาตนเองด้วยการจัดระบบการปลูกข้าวด้วยตนเองตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ข้าว  การปลูก  การเก็บเกี่ยว  ดูแลรักษาแปลงนา  ไปจนถึงการแปรรูปและจำหน่ายด้วยตนเองทั้งหมด สร้างความมั่นคงในอาชีพ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็น เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี 2556  เขาผู้นี้คือ นายช่วย สาสุข ชาวนาแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด


               นายช่วย  สาสุข  (คนที่ 2 จากขวามือ) เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี 2556

                                   นายช่วย  สาสุข  เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี  2556 
                       

"ช่วย สาสุข" วัย 69 ปี เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี 2556 ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับใช้กับการดำรงชีวิต ทำนาแบบดั่งเดิมที่ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีในการผลิต เป็นการทำนาแบบอินทรีย์ ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่ยั่งยืน ผลผลิตข้าวได้คุณภาพ และทุกปีจะแบ่งที่นาส่วนหนึ่งไว้สำหรับการคัดพันธุกรรมข้าวไว้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 120 สายพันธุ์ จากนั้นจะแปรรูปไปจำหน่ายเองภายใต้ชื่อ "บุญช่วยข้าวอินทรีย์ "
                       นายช่วย  สาสุข  (คนที่ 2 จากขวามือ) เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี 2556
ในช่วงวัยหนุ่ม นายช่วยมาขายแรงงานในเมืองหลวงด้วยการรับจ้างทำอิฐบล็อก เพราะจบแค่ ป.4 แต่อาศัยความขยันจึงสร้างตัวได้ กระทั่งฟองสบู่แตกในปี 2540 เขาจึงกลับบ้านเกิดพร้อมเงินเก็บ 8 แสนบาทกับรถยนต์  2  คัน ไปทำนาที่เคยซื้อไว้  30  ไร่ เมื่อปี 2516 ในราคา 3 หมื่นบาท เริ่มต้นทำนาด้วยสารเคมีเหมือนชาวนาทั่วไป กระทั่งปี 2544  มีเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกทุ่งกุลา เกิดขึ้นและมีการอบรมให้ความรู้การทำนาอินทรีย์ไม่พึ่งสารเคมี  จึงได้เข้ารับการอบรมและเปลี่ยนมาทำนาแบบอินทรีย์ตั้งแต่นั้นมาและต่อมาปี 2545  ซื้อเพิ่มอีก 10 ไร่  และ 12 ไร่ในปีต่อๆ มา ปัจจุบันมี 53 ไร่

"แรกๆ ทำนาแบบอินทรีย์ต้องลงทุนสูง เพราะที่นาใช้สารเคมีมาก่อนต้องปรับปรุงดินด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ถึง  300  กิโลต่อไร่ตกกิโลละ  5 บาทเฉลี่ยไร่ละ 15,000 บาท     ปีที่ 2 จะลดลงเหลือ 250 กิโล ปีที่ 3 ลดเหลือ 200 กิโล   ลดลงเรื่อยๆ กระทั่งปีที่ 6-7  แทบไม่ต้องใช้เลยเพราะที่ดินได้มีรับการปรับปรุงจนมีสภาพดีแล้ว หรือถ้าใช้ก็ปริมาณน้อยลง ปัจจุบันลงลงทุนไร่ละ 2,000 บาทเท่านั้น เป็นการลดต้นทุนไปเรื่อยๆ  และเราก็ทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง  ข้าวก็เอาสีกินเอง  และแปรรูปขายเอง  ทำให้ต้นทุนในการผลิตจะต่ำลงไปด้วย  ซึ่งเกษตรกรรายย่อยก็สามารถทำได้โดยใช้โรงสีข้าวขนาดเล็กสีข้าวกินเองได้" นายช่วย กล่าว




                             นายช่วย  สาสุข  เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ประจำปี  2556 

ปัจจุบัน นายช่วยคัดพันธุ์ข้าวเก็บไว้ทุกๆ ปีจำนวน 120 สายพันธุ์ และมีพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกอีก อาทิ ข้าว(เหนียว)หอมนางนวล, ข้าวมะลิ 105, ข้าวโสมาลี, ข้าวมะลิดำเม็ดขาว, ข้าวมะลิแดง, ข้าวพันธุกรรมพ่อหลวง, ข้าวมะลิดั้งเดิม และข้าวหินกอง 1 เป็นพันธุ์ผสมระหว่างนางนวลกับสันป่าตอง ซึ่งเกษตรกรที่ต้องการพันธุ์ข้าวสามารถสั่งจองไว้ล่วงหน้า 1 ปี ปัจจุบันเขาทำนาเกษตรอินทรีย์กับลูกสาวและลูกชาย 2 คน เพราะคู่ชีวิตได้จากไปหลายปีแล้ว  นายช่วยบอกว่าจะทำนาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะมีความสุขกับการทำนา

ล่าสุด กฤษณะ แสนสำโรง นายกเทศมนตรีตำบลหินกอง ได้เปิดโครงการ “โรงเรียนชาวนา” ในที่นาสวน ของนายช่วย สาสุข ตั้งอยู่หมู่ 12 ต.หินกอง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 53 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีการทำนาปลูกข้าวแบบดั่งเดิม อีกทั้งเป็นแหล่งศึกษา เรียนรู้พันธุกรรมข้าว โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนลูกหลานเกษตรกร นักเรียน และชาวนาที่สนใจเข้าร่วมโครงการได้ โดยมี นายช่วย เป็นครูใหญ่โรงเรียนชาวนาที่ตั้งขึ้น  พร้อมทั้งเป็นวิทยากรช่วยสอนการทำนาอินทรีย์อีกด้วย

"ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2557 เป็นต้นไป ผมจะนำเด็กตั้งแต่ป.4 โรงเรียนบ้านโพนดวนมีอยู่ 40 คนมาเรียนการทำนาแบบอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมีตั้งแต่เริ่มต้นขบวนการ ไปจนถึงการทำนาที่ใช้ต้นทุนต่ำ โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับใช้กับการดำรงชีวิตให้กับเยาวชนและเกษตรกรในตำบลหินกอง หันกลับมาใช้วิถีการทำนาแบบดั้งเดิม และสอนการคัดพันธุกรรมข้าว การผลิตปุ๋ยจุลินทรีย์ การทำน้ำหมักใช้ในครัวเรือนต่างๆ เพื่อให้เด็กๆเหล่านั้นไปโน้มน้าว พ่อ แม่ ให้หันมาทำนาแบบอินทรีย์ ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่ยั่งยืน ผลผลิตข้าวได้คุณภาพ อนุรักษ์วิถีการทำนาแบบดั่งเดิมไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้สืบไป" 

  "ผมยึดหลักการพึ่งพาตนเอง พึ่งพาผู้อื่นให้น้อยที่สุด และจะใช้หลักการนี้ในการสอนนักเรียนด้วย การทำนาอินทรีย์ เราไม่พึ่งสารเคมีเลย ปุ๋ยก็ทำขึ้นมาเอง ข้าวอินทรีย์ พอปลูกเสร็จ ก็จะใช้โรงสีข้าวเล็กๆ ที่มีอยู่สีเพื่อรับประทานเอง ส่วนหนึ่งก็แปรรูปขาย มีงานโอท็อป งานเกษตรอินทรีย์ ก็ไปออกร้าน หรือมีคนสั่งซื้อมาก็ไปส่งให้ทางไปรษณีย์ เก็บเงินค่าส่งปลายทาง สั่งมา 1 กิโล 2 กิโล ผมก็ส่ง เหนือ ใต้ ออก ตก ส่งหมด เราทำเองขายเอง ไม่ต้องพึ่งพาจำนำข้าว ปลาก็เลี้ยงไว้กิน เป็ดก็เลี้ยง หมูก็เลี้ยงหมูหลุม สิ่งปฏิกูลที่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องทิ้งนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ได้ ทุกอย่างที่ปลูกก็ต้องกินได้ แบบนี้เกษตรกรก็อยู่ได้ ใครสนใจแนวทางเกษตรอินทรีย์ก็มาเรียนได้ผมจะสอนให้" ครูใหญ่โรงเรียนชาวนา ต.หินกอง กล่าว

ท้ายสุดนี้ต้องขอยกย่อง เทศบาลตำบลหินกอง  ที่มองเห็นความสำคัญของทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าระดับท้องถิ่นร่วมกัน   และการใช้โรงเรียนชาวนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงพลังสรรสร้างพัฒนาทั้งเด็ก และผู้ใหญ่  ก่อเกิดความงอกงามทั้งด้านปัญญาความรู้ความคิด  พึ่งพาตนเองได้  รักและภาคภูมิใจในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น        
     


ขอบคุณ :  1)  http://www.dailynews.co.th
                  2) http://www.cnxnews.net
                  3) http://www.brrd.in.th
                  4) http://www.komchadluek.net

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม ต.บ้านด่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

หลวงพ่อกล่อม พรมสโร วัดป่ากะพี้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปญโญ) วัดเจดีย์คีรีวิหาร อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์