หนาวนี้เที่ยวไหนดี คำถามยอดฮิตที่เรามีคำตอบ
หนาวนี้เที่ยวไหนดี...หน้าหนาวเที่ยวไหนดี ??? คำถามที่ยอดนิยมในช่วงใกล้สิ้นปีที่จะมีวันหยุดยาว แถมสายลมเย็น ๆ พัดผ่านแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าเหล่าบรรดานักเดินทางทั้งหลาย คงเริ่มมองหาที่เที่ยวหน้าหนาวกันบ้างแล้ว แต่ก็มีอีกหลาย ๆ กลุ่มที่มองหน้ากันไปมา พร้อมกับตั้งคำถามว่าจะไป “เที่ยวหน้าหนาว” ที่ไหนดี ก็แหม...ประเทศไทยมีสถานที่เที่ยวมากมาย หลายคนคงตัดสินใจหรือเลือกไม่ถูกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เพราะฉะนั้น กระปุกท่องเที่ยวจึงขออาสามาตอบคำว่าที่ว่า “หนาวนี้เที่ยวไหนดี” กับสถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาวจากทั่วประเทศไทย คนที่อยากจะออกไปสัมผัสกับโลกกว้าง หรือไปชาร์จแบตเติมพลังใจและกายให้กับตัวเองห้ามพลาดนะ
ดอยอ่างขาง
ถึงแม้ว่า ดอยอ่างขาง จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ปลายสุดของจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านการเดินทางขึ้นเขาลงเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่ดอยอ่างขางก็ยังคงเป็นที่เที่ยวยอดนิยม โดยเฉพาะที่สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง ที่นี่มีพืช ผัก ดอกไม้ เมืองหนาวละลานตาให้ได้ชมกันอย่างเพลิดเพลินตลอดปี
ทั้งนี้ ดอยอ่างขางเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแดนลาวติดกับพรมแดนพม่า อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้ที่นี่สามารถชมทะเลหมอกได้ง่าย และเหมาะกับการปลูกพืชเมืองหนาว บนดอยอ่างขางนอกจากจะมีสถานีวิจัยพืชเมืองหนาวแห่งแรกของโครงการหลวง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2512 และแปลงผักแปลงดอกไม้ให้ชมแล้ว ยังมีหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ให้ได้เยี่ยมชมสัมผัสวิถีชีวิตแบบใกล้ชิดอีกด้วย
ใกล้ ๆ กับสถานีเกษตรโครงการหลวงดอยอ่างขางยังมี บ้านคุ้ม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชาวบ้านหลากเชื้อชาติอาศัยอยู่ ทั้งไทยใหญ่ พม่า และจีนฮ่อ ภายในหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก และที่พักบริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย หากจองที่พักบนดอยอ่างขางไม่ทันที่นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แม้ว่าอาจมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบครันเทียบเท่าภายในบริเวณใกล้เคียงสถานีเกษตร แต่ทัศนียภาพความงามของวิวทิวทัศน์ก็สวยงามไม่แพ้กัน
อ๊ะ ๆ ความงามของดอยอ่างขางยังไม่หมดเท่านั้น เพราะช่วงปลายฤดูหนาวที่ดอยอ่างขางยังมีวิวป่าเปลี่ยนสีที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยให้ชม รวมถึงดอกซากุระเมืองไทยหรือพญาเสือโคร่งที่จะบานตลอดเส้นทางขึ้นและลงดอยอ่างขางก็มีให้ชมอย่างเพลิดเพลิน รวมถึงมีไร่สตรอว์เบอร์รีที่มีให้ชมอย่างใกล้ชิด เรียกว่าเดินเก็บผลจากต้นสด ๆ กันได้เลย สำหรับคนที่ชอบเดินป่าศึกษาธรรมชาติ และชอบการดูนกเป็นชีวิตจิตใจ ที่ดอยอ่างขางเองก็มีเส้นทางดูนกและเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบริเวณด้านหลังหน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ สถานีเกษตรดอยอ่างขาง ตลอดทางเดินผ่านป่าเล็ก ๆ และไร่เกษตรของชาวบ้านก็มีนกหลายชนิดให้ชม มีทั้งนกประจำถิ่น เช่น นกปรอดภูเขา นกกางเขนน้ำหัวขาว นกปากนกแก้วอกลาย หรือนกอพยพช่วงฤดูหนาว เช่น นกอีเสือหลังแดง นกเดินดงชนิดต่าง ๆ
ภูกระดึง
ภูกระดึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและหน้าผาชมทิวทัศน์ โดยเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ใคร ๆ ก็อยากไปสัมผัสภูกระดึงสักครั้งในชีวิต เพราะการขึ้นไปถึงยอดภูทำได้เพียงเดินเท้าระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งเส้นทางขึ้นจะค่อนข้างชัน แต่จะมีจุดแวะพักที่ “ซำ” หมายถึง บริเวณที่มีแหล่งน้ำใต้ดินผุดขึ้นมาแต่ละจุดมีเครื่องดื่มและอาหารบริการ
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ ผานกแอ่น เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามมากแห่งหนึ่ง สามารถมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นมีดอกกุหลาบป่าขึ้นเป็นดงใหญ่ ซึ่งบานสะพรั่งในเดือนมีนาคม-เมษายน, ผาหล่มสัก เป็นลานหินกว้าง และมีสนต้นใหญ่อยู่ใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปจากหน้าผา เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกได้ชัดเจนที่สุด จึงทำให้นักท่องเที่ยว ช่างภาพนิยมไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ผาแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึง นอกจากนี้ ยังมี ผาหมากดูก น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกธารสวรรค์ น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกถ้ำสอใต้ สระอโนดาต เป็นต้น
บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีด่านเก็บค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท และบริการลูกหาบสัมภาระ นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเต็นท์และบ้านพักได้ที่ที่ทำการอุทยานฯ โทร. 0 4287 1333 , 0 4287 1458 ระหว่างเวลา 07.00-18.00 น. หรือติดต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760
หมายเหตุ : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จะปิดระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายนของทุกปี เพื่อให้สภาพธรรมชาติฟื้นตัวและปรับปรุงสถานที่พักสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว และอุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว 5,000 คน ต่อวัน และกางเต็นท์บนอุทยานฯ 200 หลังต่อวัน
เชียงคาน
เชียงคาน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเลย ที่ได้รับความนิยมในการเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศหนาว ๆ ริมแม่น้ำโขง ซึ่งที่นี่ถือเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเชียงคานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจะได้รอยยิ้มจากชาวเชียงคานเป็นการต้อนรับ และด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมที่ดีงามเช่นนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาได้รับความประทับใจทุกครั้งที่มาเยือน ซึ่งในย่านชุมชนยังคงมีห้องแถวไม้ บ้านไม้เก่าแก่ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ เป็นเสน่ห์ที่สุดคลาสสิกของเชียงคาน บางแห่งตกแต่งทำเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้าสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนแบบสบาย ๆ ใกล้ชิดกับชุมชน กิจกรรมที่น่าสนใจ คือตักบาตรตอนเช้า ชมวัด และล่องเรือชมทิวทัศน์สองฝั่งโขง ส่วนสินค้าที่ขึ้นชื่อของเชียงคาน คือ ผ้านวม และมะพร้าวแก้ว นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนไม่ควรพลาดที่จะซื้อเป็นของฝาก
ดอยอินทนนท์
ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย แต่กลับขึ้นชื่อว่าเป็นดอยที่เที่ยวง่ายและสะดวกสบายที่สุด เพราะทุกที่สถานที่เที่ยวเด่นถูกเชื่อมต่อด้วยถนนลาดยางอย่างดี เริ่มตั้งแต่กิโลเมตรที่ 1 นั่นก็คือ น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกที่สวยงามและสูงใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีน้ำไหลตลอดทั้งปี เกิดจากห้วยแม่ยะตกลดหลั่นกันลงมาหน้าผา หินสูงถึง 280 เมตร กว้าง 80 เมตร ต่อด้วย น้ำตกแม่กลาง (กิโลเมตรที่ 8) เป็นอีกหนึ่งน้ำตกสวยที่นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งปิกนิกพักผ่อนกินอาหารว่างมื้อสายท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น และ ถ้ำบริจินดา (กิโลเมตรที่ 8.5) ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงามที่มีอายุนับล้านปี และยังมีพระพุทธรูปสถิตอยู่ในถ้ำ
จากนั้นไปที่ น้ำตกวชิรธาร (กิโลเมตรที่ 21) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำตลอดทั้งปี เราสามารถเห็นสายรุ้งกินน้ำสีสวยที่เกิดจากละอองฟุ้งของสายน้ำตกในเวลาเที่ยงวัน เป็นช่วงเวลาที่น้ำตกแห่งนี้งดงามที่สุด น้ำตกสิริธาร เป็นน้ำตกแห่งใหม่ ตั้งหลบอยู่ในหุบเขาและป่าไม้ดงดิบ มีระเบียงไม้ร่มรื่นสามารถนั่งเล่นและชมวิวน้ำตกได้จากระยะไกล ๆ ก่อนจะไปชื่นชมความงาม ณ สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์ อยู่ในเขตหมู่บ้านม้งขุนกลาง ภายในตกแต่งร่มรื่นสวยงาม มีโรงปลูกดอกไม้ผลเมืองหนาว และยังมีร้านอาหารและบ้านพักให้บริการ หรือเดินไปชม น้ำตกสิริภูมิ (กิโลเมตรที่ 30) เมื่อก่อนชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกเลาลึ ตามชื่อหมู่บ้านม้ง เราจะเห็นสายน้ำตกสีขาวสองเส้นสวยงามมาก
เลยที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ไปไม่ไกลก็จะเห็นเพิงไม้ตั้งเรียงรายอยู่ทางฝั่งขวามือของถนน ชาวบ้านจะนำผักสด ๆ ผลไม้แช่อิ่มและงานฝีมือมาวางขายที่ตลาดม้ง ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ไปประมาน 4.5 กิโลเมตร ก็จะถึงดอยผาตั้ง หน้าผาหินสองลูกตั้งเด่นบนยอดเขา เป็นหนึ่งในจุดชมวิวสวยของดอยอินทนนท์ ก่อนจะไปไหว้ พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ (กิโลเมตรที่ 41) ซึ่งเหมาะสำหรับชมสวนดอกไม้ประดับ ชมวิวสวย และยังเป็นจุดชมวิวยามพระอาทิตย์อัสดงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของดอยอินทนนท์ และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามเช่นกัน
สำหรับเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์มีเส้นทางเดินระยะสั้นถึงสั้นมาก เดินสะดวกสบาย ทำให้สามารถชมธรรมชาติได้ทุกวัย และเส้นทางเดินระยะไกลที่เหมาะสำหรับนักผจญภัยให้เลือกตามสไตล์ อย่างกิ่วแม่ปาน เป็นเส้นทางเดินป่าระยะสั้นประมาน 3 กิโลเมตร มีไม้ป่านานาพันธุ์ รวมถึงกุหลาบพันปี กุหลาบขาวและกล้วยไม้ขนาดเล็กที่จะบานเต็มที่ในช่วงปลายหนาว ถ้าโชคดีอาจได้ชมกวางผาที่ออกมาหากินตอนเช้าด้วย และเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาหลวง อยู่บนจุดสูงสุดในประเทศไทย มีความสูง 2,560 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง สามารถขับรถขึ้นถึงได้เลย จุดเด่นอยู่ที่ต้นไม้แต่ละต้นถูกปกคลุมด้วยมอส เฟิน หากโชคดียังจะได้ชมนกกินปลีหางยาวเขียว และต้นกุหลาบพันธุ์ปี
ภูทับเบิก
ภูทับเบิก แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่สามารถเดินทางไปสัมผัสกับความงามได้ตลอดทั้งปี มีความสูงจากระดับทะเลประมาณ 1,768 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ มีสภาพภูมิประเทศที่สวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา มีอากาศบริสุทธิ์ สภาพภูมิอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ตอนเช้ามีกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์ และในราวเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีดอกซากุระหรือนางพญาเสือโครงสีชมพูบานสะพรั่งไปทั้งภูเขา
นอกจากนี้ ในยามค่ำคืนยังมองเห็นแสงไฟระยิบระยับจากบ้านเรือนในอำเภอหล่มสักที่อยู่เบื้องล่าง เปรียบได้กับ “ดาวบนดิน” จากสภาพดังกล่าว ทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็น วิถีชีวิตชาวเขา และแหล่งธรรมชาติบริสุทธิ์ ภายใต้คำกล่าวที่ว่า “นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน” อีกทั้งที่นี่ยังมีแปลงปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใกล้ ๆ กันยังเป็นที่ตั้งของ สถานีวิจัยเพชรบูรณ์ แปลงทดลองทับเบิก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นสถานีสาธิตปลูกพืชเกษตรเมืองหนาว เช่น สตรอว์เบอร์รี สาลี่ พลัม ท้อ และจำหน่ายผลผลิตสด ๆ ที่แปลงตามฤดูกาล
ปาย
อำเภอปาย ถือว่าเป็นอำเภอที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางมาชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ความเงียบสงบ และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน อีกทั้งปายยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หากิจกรรมทำกันได้ทั้งในช่วงกลางวันและยามค่ำคืน เช่น ถ้ามีเวลาในช่วงกลางวันก็ควรออกไปเที่ยวดูรอบ ๆ ตัวเมือง แวะถ่ายรูปคู่กับสถานที่ต่าง ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นไปนมัสการวัดพระธาตุแม่เย็น ไปนอนแช่น้ำแร่จากธรรมชาติที่น้ำพุร้อนท่าปาย และต่อด้วยชมสะพานประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำพุร้อนนัก หรือไปชิมขาหมูสุดอร่อยที่หมู่บ้านจีนยูนนาน และสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติเมืองเหนือ สามารถไปขี่ช้าง นั่งเล่นชมลำน้ำปาย บนแพไม้ไผ่ก็สนุกได้
ในยามค่ำคืนไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด คือ การเดินทางไปถนนคนเดินเมืองปาย ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งโหยหาที่จะมาสัมผัสบรรยากาศยามเย็นแสนสบายพร้อมเลือกดูของที่ระลึก ซึ่งเป็นเหมือนงานศิลปะชิ้นเอกของศิลปินชั้นยอดที่รวมตัวกันอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ตลอดเส้นทางของถนนคนเดินมีแสงไฟที่ห้อยระย้าช่วยเพิ่มสีสันของท้องฟ้ามืดสนิท กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว มีการจัดวางของขายที่หลากหลายตลอดสองฝั่งถนนเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับ หรือของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานทำมือที่อาศัยไอเดียแปลกใหม่เป็นจุดขาย
บนถนนคนเดินปายสายนี้ไม่ได้มีเพียงแต่สินค้า และของที่ระลึก เสื้อยืดและโปสการ์ดที่ออกแบบเก๋ ๆ ลายแปลกตาเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รวบรวมศิลปะและวัฒนธรรมในแบบต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน สังเกตจากบนถนนปายจะมีดนตรีพื้นบ้าน ซะล้อ ซอ ซึง ผลัดกับการแสดงของเด็กวัยใส นำเสนอการฟ้องนก การรำดาบ ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงของชาวไทยใหญ่ แล้วยังมีการแสดงของน้อง ๆ ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ มาเต้นตามจังหวะเพลงของแต่ละเผ่าที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ ยังมีอาหารอร่อยหลายอย่างให้ได้ลิ้มลอง เช่น ขนมจีนนั่งยองรสชาติอร่อยในบรรยากาศแสนผ่อนคลายถูกใจใครหลาย ๆ คน หากอากาศหนาวก็ยังมีข้าวปุกงาร้อน ๆ จากเตาที่มีรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร หรือดับกระหายด้วยน้ำสมุนไพรใส่กระบอกไม้ไผ่ ให้เราได้เดินไป กินไป ชมบรรยากาศสองฝั่งถนนไป อาจทำให้เราเดินเพลินจนไม่รู้เหนื่อย
ห้วยน้ำดัง
อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 81 ของประเทศไทย สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและภูเขาสูงที่สลับซับซ้อนทอดตัวยาวตามเหนือ-ใต้ และอยู่ในแนวเดียวกันกับเทือกเขาเชียงดาว ตั้งอยู่บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500-1,962 เมตร มีภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และยังสวยงามทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเย็นและในช่วงเช้า
เสน่ห์ของห้วยน้ำดังนั้นอยู่ที่วิวพระอาทิตย์อัสดงที่มีวิวของป่าสนเขาเป็นฉากหน้า ทั้งสวยงามแปลกตาและแสนโรแมนติก เราสามารถสนุกสนานกับกิจกรรมแคมป์ไฟต่อได้ในยามค่ำคืน นอกจากนี้ จุดเด่นของที่นี่ยังมีวิวพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวโพลน ซึ่งถ้าเดินทางมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวจะสามารถดื่มดำวิวธรรมชาติได้อย่างแสนประทับใจ ในยามเช้านักท่องเที่ยวมักให้ความสนใจเดินทางไปที่จุดชมวิวดอยกิ่วลม จุดชมวิวที่สวยที่สุดของอุทยานฯ
นอกจากนี้ ห้วยน้ำดังยังสามารถมองเห็นยอดเขาได้ถึง 9 ยอด ทั้งดอยช้าง ดอยแม่สลา ดอยเลาวู ดอยแม่งุม ดอยขุนคอง ดอนปี ดอยแม่มือ ดอยเมืองคอง และดอยหลวงเชียงดาว ทะเลหมอกปกคลุมพื้นที่ราบด้านล่าง มองเห็นเฉพาะยอดเขาที่สูงเหนือก้อนเมฆสีขาวตัดกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ขึ้น นับเป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุดของประเทศไทย ในช่วงต้นฤดูหนาวไปจนถึงปลายฤดูหนาวที่ห้วยน้ำดัง ไม่เป็นเพียงช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวชมทะเลหมอกสวยงามเท่านั้น ยังนับเป็นโอกาสดีที่สุดที่คุณจะได้ชมไม้ดอกเมืองหนาวหลายสีสัน ที่พร้อมอวดโฉมให้คุณสัมผัสและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแบบใกล้ชิด และความอุดมสมบูรณ์ของสภาพป่าสนเขาและป่าเบญจพรรณ ที่นี่จึงเป็นที่ถูกใจแก่ผู้ที่ชื่นชอบส่องนกนานาชนิดโดยไม่ต้องตะลุยป่าไปไกล
นอกจากจุดชมวิวที่ดอยกิ่วลม ยังมีจุดชมวิวดอยช้าง ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ตามถนนลูกรังประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มีทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนไกลสุดสายตา และทะเลหมอกสีขาวโพลนยามเช้างดงามเหนือคำบรรยาย แต่ที่ดอยช้างสามารถเที่ยวได้เฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น หากมีเวลาท่องเที่ยวและมีรถโฟร์วีลจะสามารถเดินทางขับรถไปเที่ยวที่ดอยสามหมื่น ตลอดเส้นทางลูกรังประมาณ 30 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯ และเมื่อมาถึงดอยสามหมื่นก็จะได้ชมความสวยงามของทุ่งดอกบัวตองที่จะบานสะพรั่งทั่วทั้งขุนเขาในช่วงเดือนธันวาคม-เดือนมกราคม
ภูชี้ฟ้า
ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงที่สุดของดอยผาหม่น ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีลักษณะเป็นหน้าผาที่มีแหลมยื่นเข้าไปในอากาศ คล้ายกับว่าชี้ขึ้นไปบนฟ้า จึงถูกเรียกว่า ภูชี้ฟ้า ซึ่งหากมองจากแผนที่จะพบว่าภูชี้ฟ้าตั้งอยู่ปลายสุดทางทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย เปรียบเสมือนเป็นชายแดนของประเทศที่กั้นระหว่างไทยและลาว
บนยอดภูชี้ฟ้ามีทุ่งหญ้ากว้างประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ด้านหน้าเป็นหน้าผาสูงมองเห็นหมู่บ้านเชียงตองในประเทศลาว มีจุดชมวิวยอดนิยมอยู่ 2 จุด คือ บริเวณยอดภูและบริเวณลานก่อนถึงยอด สามารถหามุมชมวิวและถ่ายภาพได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะยามที่ดวงอาทิตย์ทอแสงรุ่งอรุณที่ขอบฟ้า ตัดกับทะเลหมอกสีขาวงดงามเบื้องล่างนั้นงดงามเกินบรรยาย จากนั้นอดใจรออีกสักนิด เพราะความงามของภูชี้ฟ้ายังไม่เลือนหาย ถึงแม้พระอาทิตย์จะขึ้นโด่งจนสายแล้วทะเลหมอกด้านล่างก็ยังหลงเหลือ พอให้มองเห็นวิวป่าเขาสลับซับซ้อนเป็นคลื่นสวยงามนับเป็นความงามอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ควรพลาดรอชม
นอกจากนี้ ภูชี้ฟ้ายามกลางวัน-เย็น มีความงดงามไม่แพ้ยามเช้าตรู่ เราสามารถมองเห็นวิวทุ่งหญ้าและขุนเขาสลับซับซ้อนเปลี่ยนสีสันไปตามแต่ละฤดูกาลได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว ทุ่งหญ้าสีเหลืองทองอร่ามตระการตา ส่วนฤดูฝนก็ชุ่มฉ่ำเขียวขจี สายหมอกไหลเอื่อยทั้งยามเช้าและยามเย็น ในช่วงปลายหนาวระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ บนถนนจากภูชี้ฟ้าไปยังดอยผาตั้ง เราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงามของดอกซากุระหรือนางพญาเสือโคร่ง สีชมพูบานสะพรั่งตลอดสองข้างทางงดงามเหนือคำบรรยาย นับเป็นสิ่งหนึ่งในเส้นทางบนภูเขาที่น่าอัศจรรย์และงดงามที่สุดของประเทศไทย และในช่วงปลายฤดูหนาวระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่ภูชี้ฟ้าจะสะพรั่งไปด้วยดอกเสี้ยวสีขาวสวยงามและตระการตา เราจะเห็นดอกเสี้ยวขึ้นสลับกับต้นพญาเสือโคร่ง แต่ดอกเสี้ยวจะออกดอกในช่วงปลายหนาวได้นานกว่า
การเดินทางใช้เส้นทางเชียงราย-เทิง ระยะทาง 64 กิโลเมตร และจากเทิง-บ้านปี้ ระยะทาง 6 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1155 ผ่านบ้านปางค่า บ้านเชงเม้ง เป็นทางลาดยาง ถึงภูชี้ฟ้าระยะทาง 42 กิโลเมตร หรือใช้ทางหลวงหมายเลข 1021 สายเทิง-เชียงคำ-บ้านฮวก ก่อนถึงเชียงคำ 6 กิโลเมตร มีทางแยกไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกภูซาง อีก 19 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อไปยังภูชี้ฟ้าอีก 30 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถวนอุทยานภูชี้ฟ้าแล้วเดินเท้าไปจุดชมวิวประมาณ 700 เมตร สอบถามรายละเอียดติดต่อได้ที่ สถานีขนส่งเชียงราย โทรศัพท์ 0 5371 1224 อบต.ตับเต่า โทรศัพท์ 0 5318 9111 และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทรศัพท์ 0 5371 0195-6
ภูเรือ หรืออุทยานแห่งชาติภูเรือ ตั้งอยู่ในเขตตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ และอำเภอท่าลี่ เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลก คือ มีส่วนหนึ่งเป็นผาชะโงกยื่นออกมาเหมือนหัวเรือสำเภาใหญ่ มีอากาศเย็นตลอดปีและเป็นอุทยานที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง โดยช่วงเดือนที่เหมาะที่จะมาเที่ยวคือเดือนตุลาคม-มีนาคม
สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ได้แก่ จุดชมทิวทัศน์เดโช เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ในวันที่อากาศดีนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นภูต่าง ๆ ของเมืองเลยได้, ผาโหล่นน้อย เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมาก จากจุดนี้จะมองเห็นภูหลวง ภูผาสาด ภูครั่ง และทะเลภูเขาสลับซับซ้อน, ผาซับทอง หรือผากุหลาบ เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทองขึ้นเต็มไปทั่ว, น้ำตกห้วยไผ่ น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชัน มีความสูงประมาณ 30 เมตร น้ำตกแห่งนี้นำไปใช้ทำน้ำประปาในอำเภอภูเรือด้วย
ยอดภูเรือ เป็นจุดที่สูงที่สุดในอุทยานฯ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,365 เมตร บริเวณโดยรอบเป็นลานหินที่มีทุ่งหญ้าขึ้นแซมสลับกับป่าสน มีทั้งสนสองใบที่ขึ้นตามธรรมชาติและสนสามใบ ที่เป็นสนปลูก จากจุดนี้ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาวได้ นอกจากนี้ ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น ถ้ำหินแตก หินค้างหม้อ หินวัวนอน หินพานขันหมาก หินพระศิวะ สวนหินเต่า ทุ่งหินเหล็กไฟ ซึ่งหินเหล่านี้มีรูปร่างตามชื่อเรียก ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า ช่วงปลายฝนต้นหนาวมีดอกไม้เล็ก ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไปน่าชมมาก
ทั้งนี้ อุทยานฯ มีบริการบ้านพักไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ติดต่อขอรายละเอียดและสำรองที่พักล่วงหน้าได้ที่ ที่ทำการอุทยานฯ โทร. 0 4280 1716, 0 4280 7625
ภูหินร่องกล้า
แหล่งที่ในอดีตเคยเป็นสมรภูมิแห่งการต่อสู้ แต่ในปัจจุบันคงใช้แต่ความสงบ ความร่มรื่น ความงดงามแห่งธรรมชาติ ที่แอบแฝงเอกลักษณ์เฉพาะทางธรณีวิทยาให้ผู้เยี่ยมเยือนได้สัมผัส และเรียนรู้ ทั้งธรรมชาติและประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ครอบคลุมพื้นที่ 191,875 ไร่
ภูหินร่องกล้า มียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหินภูหินร่องกล้าเคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแพร่กระจายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่เขาค้อ ภูขัด และภูเมี่ยง จนเกิดเป็นปัญหาความมั่นคงทางการเมือง เมื่อเหตุการณ์สงบลงในปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2525 ได้มีการตัดเส้นทางผ่านใจกลางภูหินร่องกล้าและจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติขึ้น จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือตอนล่างในปัจจุบัน
แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวการใช้ชีวิต และการสู้รบของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) รวมทั้งจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่าง ๆ, ทางเดินโลกที่สาม เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ผ่านภูมิทัศน์ที่สวยงาม และสถานที่สำคัญของ พคท. ได้แก่ สำนักอำนาจรัฐ เป็นสถานที่ดำเนินการทางการปกครอง พิจารณาลงโทษผู้กระทำผิด มีคุก สถานที่ทอผ้าและโรงซ่อมเครื่องจักรกล ที่หลบภัยทางอากาศ เป็นโพรงถ้ำกว้างขวางจุคนได้กว่า 200 คน, ผาชูธง เป็นจุดที่คอมมิวนิสต์ชักธงแดงทุกครั้งที่รบชนะ ลานหินปุ่ม เต็มไปด้วยหินปุ่มตะป่ำเป็นบริเวณกว้างดูแปลกตา เกิดจากการสึกกร่อนของหินโดยธรรมชาติ เคยใช้เป็นที่พักฟื้นคนไข้
โรงเรียนการเมือง การทหาร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 6 กิโลเมตร เคยใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านพักฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ และสถานพยาบาล กระจายตัวอยู่ใต้ร่มไม้แน่นทึบ ประมาณ 30 หลัง กระจายอยู่ภายใต้ผืนป่ารกทึบ ในบริเวณใกล้เคียงยังมี สุสานทหาร และกังหันน้ำสำหรับสีข้าว, น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร ห่างจากโรงเรียนการเมืองประมาณ 600 เมตร มีทางแยกเดินลงน้ำตกร่มเกล้าก่อน จากนั้นเดินลงไปประมาณ 200 เมตร จะเป็นน้ำตกภราดร ที่เกิดจากลำธารเดียวกัน
ลานหินแตก เป็นลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก ตามซอกหินพบไม้ประเภทมอส ไลเคน เฟิน และกล้วยไม้, น้ำตกศรีพัชรินทร์ ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารจากค่ายศรีพัชรินทร์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นทหารหน่วยแรกที่ขึ้นมาบนภูหินร่องกล้า มีความสูงประมาณ 20 เมตร มีแอ่งใหญ่ที่เหมาะสำหรับเล่นน้ำ และน้ำตกหมันแดง เป็นน้ำตกที่มีชั้นต่าง ๆ รวม 32 ชั้น เกิดจากห้วยน้ำหมัน ซึ่งมีน้ำตลอดปี อยู่บนเส้นทางสายภูหินร่องกล้า-หล่มเก่า กม.18 มีทางเดินเท้าเข้าสู่น้ำตกอีก 3.5 กิโลเมตร
ในอุทยานฯ มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งแบบเต็นท์และบ้านพัก รายละเอียดติดต่ออุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า โทรศัพท์ 0 5523 3527
เมื่อลมหนาวมาเยือน พรมดอกไม้สีเหลืองจะห่มคลุมทั่วทั้งดอยแม่อูคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ หมู่ 6 ตำบลแม่อูคอ ตามทางหลวงหมายเลข 108 สายแม่ฮ่องสอน-ขุนยวม ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 1263 เข้าสู่ทุ่งบัวตองอีก 26 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยางมีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้างประมาณ 1,000 ไร่ อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการพัฒนาป่าไม้ที่สูง หน่วยที่ 5 กองอนุรักษ์ต้นน้ำ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา มีความสวยงามมาก นอกจากนี้ ยังมีบริการให้เช่าเต็นท์ค้างแรมบนดอย ซึ่งตั้งเต็นท์ได้ประมาณ 100 หลัง ผู้สนใจสามารถติดต่อได้โดยตรงบริเวณหน่วยทำการบนทุ่งบัวตอง หรือติดต่อกับทางอำเภอขุนยวม โทรศัพท์ 0 5369 1108 อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ โทรศัพท์ 0 5306 1073 และบริเวณด้านหลังจุดชมวิว มีร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
ภูสอยดาว
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่ในเขต อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงตามแนวชายแดนไทย-ลาว บริเวณที่สูงที่สุดคือ ยอดภูสอยดาว สูงถึง 2,102 เมตร อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี สภาพป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ทำกินของชาวเขาเผ่าม้ง
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ป่าสน ทุ่งดอกไม้ หน้าผาจุดชมวิว น้ำตกสายทิพย์ และน้ำตกภูสอยดาว พื้นที่ป่าสนสามใบ เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เนื่องจากจะพบเห็นทะเลหมอกและดอกไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกหงอนนาคขึ้นอยู่ทั่วไป และกล้วยไม้ป่าตามคาคบไม้ใหญ่ และช่วงฤดูหนาวก็งดงามไปด้วยสายหมอก ซึ่งระยะทางเดินทางจากเชิงเขา 6.5 กิโลเมตร บางช่วงเป็นเส้นทางชัน ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง มีสถานที่กางเต็นท์และห้องสุขาบริการ
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น เทือกเขาสลับซับซ้อนที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ ขนานกันทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออก แบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก สองฝั่งแม่น้ำเป็นป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ในเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นป่าเปลี่ยนสีสวยงามมาก
มีสถานที่น่าสนใจในอุทยาน ได้แก่ แก่งหลวง เป็นเกาะแก่งตามธรรมชาติ เกิดจากกระแสน้ำแม่น้ำน่าน ไหลผ่านโขดหินที่กระจายอยู่กลางแม่น้ำ ในหน้าน้ำจะได้ยินเสียงน้ำกระทบโขดหินดังกึกก้อง ยามหน้าแล้งจะมองเห็นแนวโขดหิน และหาดทรายสีขาวเป็นแนวยาวตามริมฝั่งแม่น้ำน่าน สามารถลงเล่นน้ำได้ช่วงหน้าแล้งเดือนเมษายนเท่านั้น เพราะหน้าฝนน้ำจะเชี่ยวมากและเป็นอันตรายอาจทำให้จมน้ำได้ อีกทั้งเส้นทางเข้าถึงแก่งหลวงลำบากมาก
ดอยผาชู้ บริเวณเชิงผาชู้เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ และเป็นสถานที่ตั้งสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติประมาณ 12 จบ กว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา มีลักษณะเป็นผาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา ในฤดูหนาวสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้จากยอดผาชู้ และเมื่อหมอกจางจะมองเห็นลำน้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวอยู่ที่ปลายผืนป่า เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น และลำน้ำน่านที่ทอดตัวคดเคี้ยวสวยงามมาก ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ช่วงใกล้ขึ้นถึงยอดผาเป็นหินแหลมคม จึงต้องเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ใส่กระชับไปด้วยเพื่อความสะดวกในการปีนป่าย ใช้เวลาในการเดินไป-กลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้ที่ประสงค์จะเดินขึ้นยอดผาชู้ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางที่อุทยานฯ
ผาหัวสิงห์ และ ดอยเสมอดาว อยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 16 สายนาน้อย-ปางไฮ เป็นจุดชมทิวทัศน์บนยอดหน้าผาสูง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ 360 องศา มีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา สำหรับพักผ่อนและดูดาว ดูพระอาทิตย์ตกและยังเป็นจุดชมทะเลหมอกอีกด้วย หากจะเดินขึ้นไปบนผาสิงห์ (เป็นหน้าผาที่มีรูปร่างคล้ายหัวสิงห์) ระยะทาง 2 กิโลเมตร ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางจากอุทยานฯ ระหว่างทางจะพบต้นจันทน์ผาซึ่งเป็นไม้เด่น, เสาดินนาน้อย หรือฮ่อมจ๊อม เกิดจากการกัดเซาะพังทลายของดินเป็นบริเวณกว้างกว่า 20 ไร่ ลักษณะคล้ายแพะเมืองผีของจังหวัดแพร่ แต่มีความสวยกว่า และจะมีการพังทลายของดินเปลี่ยนแปลงรูปไปทุก ๆ ปี
คอกเสือ อยู่ห่างจากเสาดินนาน้อยประมาณ 800 เมตร มีลักษณะคล้ายกับเสาดินนาน้อยแต่ขนาดย่อมกว่า ลักษณะเป็นหลุมลึกที่เกิดจากการกัดเซาะพังทลายของดิน ในสมัยก่อนชาวบ้านเล่าว่า ในบริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจะมาขโมยเอาวัว ควาย และหมูของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้กินเป็นอาหาร ชาวบ้านจึงรวมกำลังไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดินดังกล่าว แล้วใช้ก้อนหินและไม้แหลมขว้างและทิ่มแทงเสือจนตาย เขาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "คอกเสือ"
ทั้งนี้ ติดต่อและสอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน โทรศัพท์ 0 5470 1106, 08 1224 0800, ดอยผาชู้ โทรศัพท์ 0 5470 1160 และป่าไม้จังหวัดน่าน โทรศัพท์ 0 5471 0815 กด 18
ปางอุ๋ง เที่ยวได้ตลอดปี แต่จะสวยที่สุดในฤดูหนาว ^^ หากทอดสายตาไปยังทะเลสาบที่โอบล้อมด้วยยอดเขาสูง ยามพระอาทิตย์ขึ้น แสงสีทองสะท้อนผืนน้ำผ่านทิวสนเรียงรายริมทะเลสาบ ไอหมองบาง ๆ ที่ลอยเรี่ยผิวน้ำ บรรยากาศที่เย็นสบายในยามเช้า ความสงบนิ่งบนความงามเหล่านี้ ทำให้หลายคนเปรียบปางอุ๋งเหมือนสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย หรือบางคนก็ว่าเหมือนนิวซีแลนด์ แต่ไม่ว่าจะเหมือนประเทศใดในโลก สิ่งที่น่าภูมิใจ คือ ปางอุ๋ง ดินแดนสุดโรแมนติกเสมือนในเทพนิยายแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยนี่เอง
ปางอุ๋ง หรือโครงการพระราชดำริปางตอง 2 ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 44 กิโลเมตร ภายในโครงการฯ เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านรวมไทย มีกาแฟหอมกรุ่นรสชาติอร่อยรอต้อนรับ ใครที่ชอบถ่ายรูป เดินเลาะเลียบไปตามริมทะเลสาบ มีสวนดอกไม้ สวนหย่อมไม้ดอกและไม้ประดับ ให้เก็บเป็นภาพแนบความทรงจำ โดยหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาปางอุ๋ง คือ การนั่งแพชมทัศนียภาพ และบรรยากาศโดยรอบทะเลสาบ คงไม่ต้องบรรยายว่าดินแดนแห่งนี้สวยและตระการตาเพียงใด
ถัดจากหมู่บ้านรวมไทยไปประมาณ 6 กิโลเมตร แวะดื่มชาและซื้อใบชาที่หมู่บ้านรักไทยที่มีวัฒนธรรมของชาวจีนยูนนาน มีใบชาและผลไม้แช่อิ่มขาย เพียงได้มาสัมผัสบรรยากาศของภูเขา ท้องฟ้า ทะเลสาบ ป่าสน และทิวหมอก ทำให้รู้สึกว่า โลกนี้ยังคงมีอะไรงดงามอีกมากมายที่รอให้เราค้นหา และน้อยคนที่เดินทางมาปางอุ๋งแล้วจะพลาดชิมกาแฟรสเยี่ยม เพราะในเขตปางอุ๋งนิยมปลูกกาแฟและจำหน่ายในราคาไม่แพง เรื่องรสชาตินั้นเข้มข้นถึงใจ ถูกคอกาแฟเลยทีเดียว และอย่าพลาดที่จะไปจิบชา ชิมขาหมูที่หมู่บ้านรักไทย หมู่บ้านชาวจีนจากกองพล 93
หมายเหตุ : จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้กำหนดมาตรการการใช้พื้นที่บริเวณปางอุ๋ง คือลานกางเต็นท์ (ป่าไม้) ได้แก่ กำหนดไม่ให้นักท่องเที่ยวนำยานพาหนะทุกชนิดเข้าไปยังพื้นที่หากไม่มีบัตรจองที่พักหรือที่กางเต็นท์ แต่จะมีรถยนต์โดยสารของชาวบ้านไว้รองรับบริการ ที่โรงเรียนบ้านนาป่าแปก, นักท่องเที่ยวที่จะเข้าพักแรม (กางเต็นท์) สามารถโทรจองล่วงหน้าได้ที่ โทรศัพท์ 08 2191 1746 ระหว่างเวลา 08.00-16.30 น. ทุกวัน และเมื่อจองลานกางเต็นท์ได้แล้ว นักท่องเที่ยวจะต้องไปรับบัตร เพื่อนำยานพาหนะไปยังพื้นที่ที่จองไว้ โดยไปรับที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ถ้ำปลา) หมู่ 1 ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงและเนินเขา มีหน้าผาสูงชันดันเกิดจากการแยกตัวของผิวโลกมีสภาพทั่วไปเป็นป่าเต็งรัง มีหินทรายรูปทรงแปลกตากระจายอยู่ทั่วบริเวณ ปลายฤดูฝนจะมีดอกไม้สวยงามขึ้นโชว์สีสันตามลานหินทรายเป็นลานกว้าง และยังมีพื้นที่ที่ติดแม่น้ำโขงนี้จึงมีทิวทัศน์ที่งดงาม
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงามหลากหลาย แถมยังเที่ยวง่ายมีถนนลาดยางเข้าถึงจุดชมวิว น้ำตกต่าง ๆ เกือบครบทุกที่ คุณจึงสามารถพาครอบครัวมาเที่ยวได้ครบทุกเพศทุกวัย สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในอุทยานฯ คงหนีไม่พ้น น้ำตกลงรู หรือน้ำตกแสงจันทร์ เป็นน้ำตกมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ลักษณะเด่น คือ เป็นน้ำตกแห่งเดียวในประเทศที่ไหลลงรูผ่านช่องหินที่ธรรมชาติเว้นไว้ให้สายน้ำไหลลงมาบนแผ่นหินเบื้องล่าง เหมือนเปิดฝักบัวขนาดใหญ่ เป็นที่มาของชื่อน้ำตก ด้านบนยังสามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วย และที่พิเศษกว่าช่วงใด ๆ ก็คือใน คืนวันเพ็ญหรือวันพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์จะส่งผ่านมาที่น้ำตกจะมีสีขาวนวลสวยงามมาก เป็นที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์
นอกจากจะได้เที่ยวน้ำตกรู เมื่อเดินทางมายังอุทยานฯ ผาแต้มจะได้เที่ยวน้ำตกอีกสองแห่ง ได้แก่ น้ำตกทุ่งนาเมือง ลักษณะเหมือนสายสร้อยร้อยคอนับเป็นอีกสองน้ำตกสวยที่บรรยากาศร่มรื่น ธรรมชาติสมบูรณ์และเที่ยวไม่ยากด้วย ที่อุทยานแห่งชาติผาแต้มยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นจุดชมทิวทัศน์แม่น้ำโขง มองเห็นกว้างไกล เห็นสายน้ำแห่งชีวิต ไหลขดเคี้ยวผ่านถนนหนทางและบ้านเรือนริมสองฟากฝั่งงดงามจับใจ ส่วนใครชอบชมความงามของประติมากรรมธรรมชาติก็ต้องไปที่ เสาเฉลียง ลักษณะเป็นเสาหินทรายรูปทรงแปลกประหลาดตามแต่จินตนาการ
สำหรับใครที่เลือกค้างแรมที่อุทยานฯ ผาแต้ม ช่วงเช้าก็ต้องไปพลาดเดินมาเฝ้ารอชมความงามยามพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ผาแต้ม” ที่ไม่เพียงเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของประเทศ ที่นี่ยังเป็นจุดที่พระอาทิตย์ขึ้นก่อนที่ใดในประเทศไทย เพราะด้วยภูมิประเทศที่ตั้งยื่นออกไปทางทิศตะวันออกของประเทศไทย จึงทำให้ใกล้พระอาทิตย์กว่าส่วนใดในประเทศไทย ขากลับเดินตามทางเดินศึกษาธรรมชาติแวะชมผาแต้ม ภาพเขียนประวัติศาสตร์สีแดงระเรื่อตามหน้าผา ก็นับว่าคุ้มค่ากับทริปมาเยือนอุทยานฯ ผาแต้มแล้ว
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม ตั้งอยู่บนสันเขาบริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย อำเภอแม่ริม อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 40 นาที เดิมที่บริเวณนี้ชาวบ้านเรียกว่ากิ่วเสือเป็นป่ารกร้าง ต่อมาชาวบ้านเข้ามาแผ้วถางและปลูกฝิ่น จนในท้ายที่สุดโครงการหลวงมาขอซื้อพื้นที่เข้าโครงการหลวงหนองหอย เมื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลวง คุณแจ่ม แจ่มจรัส สุชีวะ หลานตาของ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงบริเวณม่อนแจ่มให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะในลักษณะของม่อนแจ่มแค้มปิ้งรีสอร์ท และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ม่อนแจ่ม มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีหมอกยามเช้า มีจุดชมวิวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทิวภูเขาสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา อีกด้านเป็นแปลงปลูกพืชและไม้เมืองหนาวของโครงการหลวง อีกทั้งยอดเขาทางทิศตะวันออกมีจุดชมวิวม่อนล่อง เหมาะสำหรับชมทิวทัศน์ของพื้นที่โครงการหลวง เป็นจุดชมทะเลหมอกบนหน้าผา มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ชมพรรณไม้และดอกไม้ป่า ส่วนทางด้านทิศใต้เป็นไหล่เขามองลงไปจะเห็นหมู่บ้านม้งหนองหอย และพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยโดยรอบ ซึ่งเป็นแปลงปลูกผักและวิจัยพืชผักเมืองหนาว ไม้ผล และการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
ทั้งนี้ บนม่อนแจ่มมีร้านอาหารบริการ โดยปรุงอาหารโดยใช้ผลิตผลท้องถิ่นที่ปลูกเอง และมีที่พักในลักษณะแคมปิ้ง รีสอร์ท เปิดให้บริการบนม่อนแจ่ม สอบถามรายละเอียดและจองที่พักได้ที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ฝ่ายประชาสัมพันธ์โครงการหลวง โทรศัพท์ 053 810 765 หรือเว็บไซต์ thairoyalprojecttour.com
ดอยภูคา
เช้าวันใหม่ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เสียงกระซิบของสายลมยามเช้าลอยผ่านเทือกเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน เบื้องหน้าที่เวิ้งว้างกว้างไกล เต็มไปด้วยทะเลหมอกสีเทาจางพืชพันธุ์ชนิดต่าง ๆ ทยอยกันผลิดอกออกผล บานสะพรั่งเต็มขุนเขา ณ ดอยภูคา แห่งนี้ ได้ซ่อนความมหัศจรรย์เอาไว้มากมาย ที่นี่นับเป็นผืนป่าแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีพรรณไม้หายากของโลกอย่าง ต้นชมพูภูคา หรือแม้กระทั่ง ต้นเต่าร่างยักษ์ภูคา รวมไปถึงต้นก่วมภูคา พรรณไม้เฉพาะถิ่นที่หายากของเมืองไทย หากมาเที่ยวช่วงฤดูหนาว ก็จะได้พบดอกนางพญาเสือโคร่งออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งหวานชื่นใจไปทั่วดอย
นอกจากจะชมความงามของดอยสีชมพูแห่งนี้แล้ว กิจกรรมง่าย ๆ ที่อยากให้ทำ คือ การเดินป่าระยะสั้นในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ แวะชม “น้ำออกรู” ที่ธารน้ำลอด หรือหากมีเวลาและชอบการผจญภัย ไปเที่ยวชมน้ำตกภูฟ้า น้ำตกขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่าลึก มีความสูงลดหลั่นกันถึง 12 ชั้น ยามพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา พระจันทร์เคลื่อนตัวมาจับจองท้องฟ้า เพียงเร้นกายลงนอนใต้หลังคาผ้าใบเปิดม่านออกมาชมดาว ณ จุดชมวิวลานดูดาวยอดดอยภูคาแห่งนี้ ก็นับเป็นทริปที่ตรึงใจได้ไม่รู้ลืม
ทั้งนี้ ต้นนางพญาเสือโคร่งจะเบ่งบานอวดสีชมพูสดเต็มยอดดอยตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ถ้าต้องการชมดอกชมพูภูคาให้ไปในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
ดอยวาว
จะมีที่ไหนในภาคเหนือที่ลานกางเต็นท์อยู่ในโอบล้อมของแปลงไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวอันสวยงาม และเมื่อตื่นนอนยามเช้าออกจากเต็นท์สามารถชมพระอาทิตย์สีส้มแดงขึ้นจากขอบฟ้ารวมถึงสายหมอกหนาเป็นผืนแผ่นลอยระอยู่ตามไหล่เขาสลับซับซ้อนได้เท่ากับ ดอยวาว จังหวัดน่าน เมื่อแสงแรงกล้า สีชมพูของดอกนางพญาเสือโคร่งก็งามพราวพร้อมกันบนยอดเขา ทั้งยังมีนกสีสันสวยงาม เช่น นกกินปลีหางยาวคอสีฟ้า นกเขียวก้านตองท้องสีส้ม แวะเวียนเข้ามากินน้ำหวาน
เส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดดอยวาว ระยะทาง 1,674 เมตร จะผ่านป่าดิบเขาอันร่มเย็น ให้คุณได้ใกล้ชิดธรรมชาติและชมนกป่าสีสวย ยามเย็น มองออกไปทางทิศตะวันตกก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า จะเห็นเขาสามยอดที่มีรูปลักษณ์พิเศษ ขวาสุดรูปร่างคล้ายช้าง คือ ดอยช้าง ตรงกลางคล้ายวัว คือ ดอยวัว และซ้ายสุด คือ ดอยผาจิ ในเดือนพฤศจิกายนพระอาทิตย์จะตกระหว่างดอยวัวกับดอยผาจิได้พอดีอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งเมื่อความมืดมาเยือนในคืนฟ้าโปร่ง จะเห็นดวงดาวนับหมื่นแสนดารดาษเต็มผืนฟ้าอย่างสุดแสนโรแมนติก ลองไปสักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักที่นี่ดอยวาว ณ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี
ทั้งนี้ เมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวที่ดอยวาวแล้ว นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่าง วัดหนองบัว เป็นวัดของชาวไทยลื้อบ้านหนองบัวโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนาโบราณภายในมีจิตรกรรมฝาผนังสวยงาม
เขาช้างเผือก
ภาพจาก tiewpakklang.com
เขาช้างเผือก เป็นชื่อยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีความสูงประมาณ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นเส้นทางเดินป่าที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ เส้นทางเดินไปสู่ยอดเขาช้างเผือกเป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้า โดยมีจุดไฮไลท์ของการเดินทางอยู่ที่ "สันคมมีด" สันเขาที่สวยงามและน่าหวาดเสียวไปพร้อมกัน เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาจะสามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง 360 องศา
เส้นทางพิชิตยอดเขาช้างเผือกมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมการผจญภัย และมีร่างกายที่แข็งแรง ใช้เวลาเดินเท้าจากบ้านอีต่องประมาณ 6 ชั่วโมง และต้องพักค้างคืนกางเต็นท์บนยอดเขา โดยต้องติดต่ออุทยานฯ ให้จัดเจ้าหน้าที่นำทาง และจ้างลูกหาบช่วยขนสัมภาระ เปิดให้ท่องเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โทรศัพท์ 0 3453 2114, 08 1382 0359
ขุนช่างเคี่ยน หรือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ทางทิศเหนือของยอดดอยปุย ห่างจากพระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์ ประมาณ 8 กิโลเมตร สถานีฯ มีพื้นที่ประมาณ 262 ไร่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,200-1,300 เมตร เริ่มเปิดพื้นที่ดำเนินงานเมื่อปี พ.ศ. 2516 เป็นหนึ่งในสถานีเกษตรฯ ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่วิจัยเกี่ยวกับไม้ผลเมืองหนาว และเมล็ดพันธุ์กาแฟ เพื่อศึกษาความสามารถในการมีชีวิตรอดหลังจากปลูกใหม่
ภายในมีแปลงผลิตพืชหลักของสถานีฯ เช่น กาแฟอาราบิก้า ไม้ผลเมืองหนาว พืชผักเมืองหนาว และพืชเศรษฐกิจบนที่สูงอื่น ๆ ซึ่งในแต่ละปีจะมีการฝึกอบรมเกษตรกร เจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรที่สูง และนักศึกษาสาขาเกษตรศาสตร์จากสถาบันต่าง ๆ มีอาคารที่พักสำหรับการฝึกอบรม และที่พักผ่อนของบุคคลทั่วไป จำนวน 7 หลัง มีห้องประชุม และโรงครัวไว้อำนวยความสะดวกด้วย
ทั้งนี้ นอกจากเมล็ดพันธุ์กาแฟและผลไม้เมืองหนาวแล้ว ขุนช่างเคี่ยนยังมีชื่อเสียงให้เหล่านักเดินทาง เดินทางไปสัมผัสอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ต้นนางพญาเสือโคร่ง ที่ออกดอกบานสะพรั่งอลังการ ตลอดสองข้างทางถนนสายเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่มุ่งตรงไปสู่สถานีฯ ในช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม (ในละปีต้นนางพญาเสือโคร่งจะออกดอกไม่พร้อมกัน ควรจะสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ให้แน่นอนก่อนเดินทาง) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 5322 2014, 0 5394 4052 หรือดู agri.cmu.ac.th
เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน)
เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) อยู่ในบริเวณเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หมู่ที่ 3 ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี 90 กิโลเมตร เป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวอเนกประสงค์ บริเวณเขื่อนและอ่างเก็บน้ำร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่และสวนสวยงาม งดงามด้วยทัศนียภาพแปลกตาของเทือกเขาหินปูนที่ผุดขึ้นกลางเวิ้งน้ำสีเขียวมรกตราวกับเกาะใหญ่น้อยกว่า 160 เกาะ นับเป็นความตระการตาของภูผาอันยิ่งใหญ่ดุจเดียวกับกุ้ยหลินที่ประเทศจีน
จากสันเขื่อนเชี่ยวหลานมีจุดชมทิวทัศน์ที่มองเห็นเทือกผาหินเรียงรายกลางอ่างเก็บน้ำ ใช้เวลานั่งเรือไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กุ้ยหลินเชี่ยวหลานก็แทบประชิดอยู่เบื้องหน้า ผาหินอันสูงตระหง่านดุจกำแพงยักษ์นั้นมีรูปลักษณ์หลากหลาย บ้างเรียงเป็นแถวหรือรวมเป็นกลุ่มก้อน บางลูกโอบล้อมสายน้ำไว้ดุจทะเลสาบมรกตกลางขุนเขา สามารถนั่งเรือเข้าไปชมได้ ถ้าโชคดีอาจเห็นเลียงผาออกมาหากินตามชะง่อนหิน หรือมีนกกกบินข้ามขุนเขา นอกจากนี้ บริเวณริมอ่างเก็บน้ำยังมีเรือนแพของอุทยานแห่งชาติเขาสกบริการ (ผู้ที่ประสงค์จะไปพักควรติดต่อที่พักล่วงหน้า โทรศัพท์ 0 7729 9318-9) หากพักค้างแรม ยามเช้าตรู่จะได้สัมผัสภาพงามของสายหมอกบาง ๆ ลอยผ่านผืนน้ำคลอเคลียไปตามผาหินและผืนป่า
สวนผึ้ง
ภาพจาก tiewpakklang.com
อยากเที่ยวเมืองหนาวแต่ไม่อยากไปไกลถึงเมืองเหนือ ขอแนะนำให้ไป “สวนผึ้ง” จังหวัดราชบุรี ซึ่งในฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็นหลายเดือน ไม่ใช่สวนเลี้ยงผึ้ง แต่เป็นอำเภอหนึ่งที่มีภูมิทัศน์สวยงามท่ามกลางขุนเขาสลับซับซ้อน บริเวณชายแดนแถบตะวันตกของประเทศ
สวนผึ้งสมัยก่อนเป็นแหล่งทำแร่ แต่ไม่นานมานี้สวนผึ้งได้กลายเป็นแหล่งรวมของบูติกรีสอร์ทหลากรูปแบบ ซึ่งคู่รักคู่แต่งงานนิยมไปถ่ายภาพ หรือครอบครัวพาเด็ก ๆ ไปถ่ายรูปกับแกะในฟาร์ม โดยเฉพาะที่นิยมกันมาก คือ การขึ้นไปจุดชมทิวทัศน์บนยอดเขากระโจม ที่ต้องตื่นแต่เช้ามือนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านทางเหมืองเก่า เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นและสายหมอกกลางผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ช่วงฤดูหนาวปลายปีสวนผึ้งมีเทศกาล Candle in the Winter การแสดงดนตรีในสายลมหนาว งานออกร้านนานาชาติ และของที่ระลึกมากมาย
สวนผึ้งยังคงความเป็นชนบทน่าอยู่มาก เพราะฉะนั้น ใครที่ได้เดินทางมาที่นี่ไม่ควรพลาดที่จะมาลิ้มรสอาหารไทยกัน ร้านอาหารที่นี่มีอยู่หลากหลายร้านที่ยังโขลกพริกแกงเอง รวมถึงมีเมนูปลาน้ำจืด ปลาสด ๆ ที่นี่หาไม่ยาก จึงมีทั้งแกงป่าไก่บ้าน ต้มยำปลาช่อน ทอดมันปลากราย ส่วนของฝากที่มีชื่อเสียงของสวนผึ้ง คือ พริกกะเหรี่ยง สมัยก่อนปลูกโดยชาวกะเหรี่ยงแท้ ๆ พริกสดสีส้มจัด ก้นโต ปลายแหลม เม็ดเรียวและส่วนใหญ่ไม่ใส่สารเคมี นำมาตากแห้ง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม
วังน้ำเขียว
สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน หรือ "วังน้ำเขียว เมืองหนาว ภูเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผลไม้นานาพันธุ์ แดนสวรรค์เมืองหมอก" คำขวัญและคำกล่าวที่ผู้คนพูดถึงอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาเป็นแรงดึงดูดให้อยากไปพิสูจน์ จากกรุงเทพฯ ขับรถตามทางมอเตอร์เวย์ ออกด่านที่ฉะเชิงเทรา แล้วมุ่งหน้ากบินทร์บุรี เข้าทางหลวงหมายเลข 304 ขึ้นเขาไปจนถึงอำเภอวังน้ำเขียว ถึงบริเวณตลาด 79 ของอำเภอวังน้ำเขียว ก่อนอื่นก็ต้องหาที่พักกันก่อน ที่พักที่อยู่ตีนเขาแผงม้า อากาศที่นี่จึงเย็นสบาย ลมพัดมารู้สึกได้ถึงความเย็นของป่า
สามารถเริ่มจากเที่ยวฝั่งตำบลวังน้ำเขียวก่อน ที่สวนหน้าวัวสุชาดา บนทางหลวงชนบท นม 3052 เข้าไปชมแปลงปลูกดอกหน้าวัวหลากหลายสายพันธุ์จากต่างประเทศ มีหลายสี ทั้งแดง ชมพู ขาว เขียวอ่อน ที่นี่มีดอกหน้าวัวให้ชมทั้งปี นอกจากนั้นยังมีแปลงปลูกองุ่นไร้เมล็ดด้วย นอกจากเยี่ยมชมจะซื้อหาไปเป็นของฝากก็ไม่ว่ากัน เสร็จแล้วเลยไปอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง 1 ที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา เห็นวิวทิวทัศน์ของแนวสันเขายาวอย่างสวยงาม เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจ
จากนั้นขับรถออกไปถนนใหญ่ ทางหลวงหมายเลข 304 ขับขึ้นไปอีก 4 กิโลเมตร กลับรถแล้วเลี้ยวเข้าไปตำบลไทยสามัคคี เลย อบต.เลี้ยวซ้ายเข้าไป 300 เมตร ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสวนผักปลอดสารพิษลุงไกร ที่นี่มีการรวมตัวกันเป็น "กลุ่มส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียว" เน้นการปลูกผักสลัด ผักกาดหอมเป็นส่วนใหญ่ มีหลายหลายสายพันธุ์ ผักจากสวนลุงไกร สด สะอาด อร่อย ผักสดคุณภาพสูงจากที่นี่ยังถูกส่งขายให้กับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่หลายแห่ง รวมถึงโรงแรมชื่อดัง เพราะฉะนั้น มั่นใจในคุณภาพของผักจากสวนลุงไกรได้ชัวร์ ขับออกไปทางผาเก็บตะวัน แวะไปที่วังน้ำเขียวฟาร์ม เป็นศูนย์เพาะพันธุ์เห็ดเมืองหนาว มีทั้งเห็ดหอม เห็ดหัวลิง เห็ดหลินจือ เห็ดโคนญี่ปุ่น เห็ดนางฟ้าภูฎาน เห็ดนางฟ้า และเห็ดนางนวล เปิดให้เยี่ยมชมการเพาะเห็ดแบบออร์แกนิก ไร้สารพิษ และยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเห็ดอีกมากมายให้ซื้อกลับบ้าน
สุดท้ายก่อนเดินทางกลับสามารถใช้เส้นทางไปอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เผื่อแวะเที่ยวอีกเล็กน้อย บทพิสูจน์ของคำขวัญและคำกล่าวถึงอำเภอวังน้ำเขียวนั้น ท่องเที่ยวช่วงหน้าฝนอากาศเย็นสบาย และหลังฝนตกก็สามารถพบเห็นสายหมอกได้ทั่วไป อาจเป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศที่มากมายไปด้วยภูเขาและยังถูกโอบล้อมด้วยอุทยานแห่งชาติถึงสองแห่ง วังน้ำเขียวจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดู ได้สัมผัสบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์และเปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละฤดู
เขาใหญ่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หรือที่เรียกสั้น ๆ กันว่า เขาใหญ่ เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีอาณาเขตครอบคลุม 4 จังหวัด คือ จังหวัดสระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และนครนายก ณ ที่แห่งนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่มักเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาขับรถราว 3 ชั่วโมง
อีกทั้งที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเขตพรรณพืชถึง 4 เขต ซึ่งขยายวงกว้างตั้งแต่ 100 เมตร ไปจนถึงมากกว่า 1,400 เมตร อันประกอบไปด้วย ป่าดิบชื้น, ป่าดงดิบแล้ง, ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบเขา ตามพื้นที่ป่าและทุ่งหญ้าเขตร้อนเป็นที่อาศัยของโขลงช้างประมาณ 300 เชือก และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือนกเงือก ซึ่งมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่ นกกก, นกเงือกกรามช้าง, นกแก๊ก และนกเงือกสีน้ำตาล
เส้นทางเดินป่า 50 สาย ตามทางเดินของสัตว์ป่าไปยังน้ำตกแสนงดงาม อย่างน้ำตกเหวสุวัต และไปยังทุ่งหญ้าเขตร้อนที่บรรดาช้างเดินเตร็ดเตร่ไปมา ส่วนกวางแคระและเก้ง รวมถึงชะนี, ค่าง, ลิงวอกมักมีผู้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง หอส่องสัตว์อีก 3 แห่ง ยิ่งช่วยให้พบเห็นพวกมันได้ง่ายขึ้นไปอีก ตลอดจนการขึ้นรถส่องสัตว์ในตอนกลางคืน ที่มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ คอยช่วยฉายไฟไปยังฝูงสัตว์ที่หากินกลางคืนให้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ประสงค์จะผจญภัยออกไปไกลกว่านั้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็พร้อมที่จะเป็นผู้นำทางให้
สำหรับผู้ที่ต้องการมาพักค้างคืนก็ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกบริการ บริเวณผากล้วยไม้จัดเป็นสถานที่ตั้งเต็นท์พักแรม มีร้านค้าสวัสดิการขายอาหาร และมีเต็นท์, เครื่องนอนให้เช่า นอกจากนั้นยังมีค่ายพักบริการอีก 2 แห่ง คือ ค่ายพักกองแก้ว และค่ายพักเยาวชน สำหรับการจองบ้านพัก ติดต่อโดยตรงที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทรศัพท์ 0 2562 0760-2 หรือจองบ้านพักผ่านทางเว็บไซต์ dnp.go.th
ทั้งนี้ อุทยานฯ มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในอุทยานฯ เขาใหญ่ วันละ 2,000 คน ดังนั้น ผู้ประสงค์จะเข้าไปเที่ยวในอุทยานฯ กรุณาสอบถามหรือติดต่อล่วงหน้าที่ โทรศัพท์ 0 3736 5033 , 08 1877 3127, 08 6092 6531 (ตลอด 24 ชั่วโมง) และเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและไม่เป็นการรบกวนการดำรงชีวิตสัตว์ป่า ห้ามนำสัตว์เลี้ยงขึ้นไปบนอุทยาน และห้ามรถยนต์ขนาดมากกว่า 40 ที่นั่ง รถสองชั้นหรือมีความสูง 3.50 เมตร ขึ้น-ลงเส้นทางระหว่างด่านศาลเจ้าพ่อ อำเภอปากช่อง ถึงที่ทำการอุทยานฯ สำหรับการขึ้น –ลงเส้นทางระหว่างด่านเนินหอม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ถึงที่ทำการอุทยานฯ ห้ามขึ้น-ลง ระหว่างเวลา 16.00 – 06.00 น.
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นผืนป่าอนุรักษ์กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่ถึง 2,915 ตารางกิโลเมตร หรือ 1.8 ล้านไร่ ยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานฯ คือ ยอดเขางะงันนิกยวงตอง อยู่ในเขตรอยต่อประเทศพม่าและไทย มีความสูง 1,513 เมตร รองลงมา คือ ยอดเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งมีความสูง 1,207 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ที่นี่ไม่เพียงเป็นสวรรค์ของผู้รักธรรมชาติ แต่ยังได้รับความนิยมสูงสุดในการมาพักผ่อนแบบแค้มปิ้ง เพื่อรอชมทะเลหมอกอันงดงามตระการตา อีกทั้งป่าแก่งกระจานนับเป็นจุดชมทะเลหมอกในบรรยากาศคล้ายกับขุนเขาทางภาคเหนือซึ่งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด
สำหรับสถานที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ ได้แก่ ทะเลสาบ มีเกาะกลางแม่น้ำอยู่มากมายหลายเกาะ นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะล่องเรือชมทิวทัศน์เพื่อพักผ่อนหรือตกปลาน้ำจืดในทะเลสาบ ก็สามารถเช่าเรือได้ที่ร้านอาหารหรือชมรมเรือที่อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ, เขาพะเนินทุ่ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานฯ ในเขตประเทศไทย อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 50 กิโลเมตร เป็นภูเขาสูง มีบริเวณที่เป็นทุ่งหญ้ากว้าง ในระดับความสูง 960 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณโดยรอบเป็นป่าดิบเขา มีสัตว์ป่าชุกชุม ทิวทัศน์งดงาม จากยอดเขาสามารถเห็นทะเลหมอกในช่วงฤดูฝนต่อฤดูหนาว การเดินทางต้องใช้เวลา 2 วัน พักค้างแรม 1 คืนระหว่างทาง และติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทาง ส่วนอาหารและเต็นท์สำหรับพักค้างแรมต้องนำไปเอง
พะเนินทุ่งแคมป์ หรือ กม.30 เป็นจุดชมวิวที่สามารถชมทะเลหมอกในตอนเช้าได้สวยจุดหนึ่ง และสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ การเดินทางต้องใช้รถที่มีกำลังสูง สามารถเหมารถปิกอัพได้จากบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เนื่องจากถนนค่อนข้างแคบ อุทยานฯ จึงได้กำหนดเวลาในการขึ้น-ลง คือ เวลาขึ้น ช่วงเช้าเวลา 05.30-07.30 น. ช่วงบ่ายเวลา 13.00-15.00 น. เวลาลง ช่วงเช้าเวลา 09.00-10.00 น. ช่วงบ่ายเวลา 16.00-17.00 น. สำหรับผู้ที่ต้องการจะขึ้นเขาพะเนินทุ่งต้องติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อขอใบอนุญาตผ่านทาง และผู้ที่ต้องการจะขึ้นเขาพะเนินทุ่ง เวลา 05.00 น. ต้องทำใบขออนุญาตล่วงหน้า 1 วัน
น้ำตกทอทิพย์ อยู่ห่างจากเขาพะเนินทุ่ง 15 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยรถยนต์ และเดินทางเท้าเข้าถึงตัวน้ำตกประมาณ 4 กิโลเมตร มีความสูง 9 ชั้น ชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่สวยที่สุด แต่ละชั้นสวยงามแปลกตา สภาพโดยรอบเป็นป่าไม้ร่มรื่น ทั้งนี้ การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ลึกเข้าไปในผืนป่า ควรขอคำแนะนำและคนนำทางจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก่อน นอกจากนี้ ควรใช้รถยนต์ที่มีกำลังเครื่องดีเพราะเส้นทางผ่านหุบเขาลาดชัน
สำหรับเส้นทางดูนก-ผีเสื้อ จะเริ่มจากที่กิโลเมตรศูนย์ คือ บริเวณด่านตรวจเขาสามยอดถึงกิโลเมตรที่ 18 จะพบผีเสื้อได้ตามสองข้างทางหรือตามโป่งดินระหว่างกิโลเมตรที่ 10-12 และจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถดูนกได้ คือ บริเวณตั้งแต่อ่างเก็บน้ำห้วยสามยอด ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้ำนานาชนิด ส่วนเส้นทางศึกษาธรรมชาตินั้นนับตั้งแต่กิโลเมตรที่ 18 ขึ้นไป และบริเวณกิโลเมตรที่ 18-27 อาจจะพบเห็นนกกระลิงเขียดหางหนาม ซึ่งเป็นนกที่พบในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เดียวในประเทศไทย
แคมป์บ้านกร่าง เป็นจุดพักค้างแรมกางเต็นท์ สำหรับผู้สนใจดูนกและผีเสื้อ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย อยู่บริเวณ กม.15 มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ซึ่งเป็นป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง และยังมีสัตว์ป่ามากมาย รวมทั้งผีเสื้อมากกว่า 150 ชนิดให้ศึกษา นอกจากนี้ บริเวณบ้านกร่างมีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง คือ น้ำตกปราณบุรี มี 5 ชั้น เป็นน้ำตกเล็ก ๆ, น้ำตกแม่สะเลียง มี 3 ชั้น เป็นน้ำตกสายเล็ก ๆ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทาง 3 วัน 2 คืน รอบ ๆ น้ำตกยังเป็นป่าที่สมบูรณ์ร่มรื่น, ถ้ำหัวช้าง เป็นถ้ำหินปูนภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยลักษณะคล้ายหัวกะโหลกช้าง, ถ้ำเขาปะการัง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และเขาปะการัง เป็นภูเขาหินปูนสีเทาอมน้ำเงิน มีหน้าผาให้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ประกอบด้วยป่าไม้เขียวขจีและภูเขาสลับซับซ้อน
เหมืองปิล็อก
เหมืองปิล็อก ตั้งอยู่ในตำบลปิล็อก ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิไปทางทิศตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 3272 มีการทำเหมืองแร่ดีบุก วุลแฟรมกันมากบนเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า ระหว่างทางสามารถแวะชม “ปิล็อกฮิลล์” สถานที่ปลูกไม้ผลและไม้ประดับเมืองหนาว ซึ่งอยู่ห่างจากทองผาภูมิประมาณ 32 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง ซึ่งการจะเข้าถึงน้ำตกจะต้องใช้การเดินเท้า เช่น น้ำตกจ๊อกกะดิ่น และน้ำตกเจ็ดมิตร การเดินทางควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากเส้นทางส่วนใหญ่มีความสูงชันและคดเคี้ยว
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง มีพื้นที่ 1,619,280 ไร่ เป็นเขตป่าอนุรักษ์เพื่อการสงวนและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เป็นผืนป่าตะวันตกต้นกำเนิดแหล่งมรดกโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศหนาวเย็นมาก สภาพทั่วไปเป็นป่าดงดิบ ป่าผลัดใบ สัตว์ป่าที่พบ ได้แก่ เสือลายเมฆ สมเสร็จ เลียงผา เก้ง กวาง เหยี่ยว นกกระทุง ได้รับการประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เมื่อ พ.ศ. 2532
สถานที่น่าสนใจภายในเขตฯ ได้แก่ น้ำตกทีลอซู คำว่า ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า น้ำตกดำ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร มีน้ำไหลแรงตลอดปี ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ นับเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามมากติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก ซึ่งการเดินทางไปชมน้ำตกแต่ละชั้นบางครั้งจะต้องเดินผ่านสายน้ำตก ควรใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ การเดินทางรถยนต์จากอำเภออุ้มผางใช้เส้นทางสายอุ้มผางแม่สอดถึงหลักกิโลเมตรที่ 161 มีทางแยกซ้ายที่บ้านแม่กลองใหม่ไปด่านเดลอ หรือจุดตรวจ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง” เป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร (ดูรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ dnp.go.th)
ทุ่งแสลงหลวง
แหล่งผืนป่าสะวันนาแห่งเดียวของภาคเหนือที่แอบแฝงเสน่ห์แห่งป่า ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ ความแตกต่างแห่งพืชพรรณที่ไม่พบเห็นบ่อยนักในป่าเมืองเหนือ นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และความหลากหลายทางชีวภาพ มีพื้นที่ 789,000 ไร่ ในท้องที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ กม.80 เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก นักท่องเที่ยวสามารถขอข้อมูลเดินทางศึกษาธรรมชาติ รวมทั้งใช้บริการที่พักและกางเต็นท์พักแรมได้
แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกต่าง ๆ บนเส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก เช่น น้ำตกแก่งโสภา น้ำตกวังนกแอ่น ส่วนพื้นที่ทางด้านตะวันออกและตอนกลางของอุทยานฯ ในเขตอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นบริเวณป่าสนและทุ่งหญ้าสะวันนา ได้แก่ ทุ่งแสลงหลวง ทุ่งพญา ทุ่งโนนสน ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปเดินป่าและกางเต็นท์พักแรม สามารถติดต่อได้ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.8 (หน่วยฯ หนองแม่นา) หรือสอบถามรายละเอียดได้ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โทรศัพท์ 0 5526 8019
และนี่คือเที่ยวหน้าหนาวที่เราหยิบมาแนะนำกัน แต่จริง ๆ แล้วในประเทศไทยตามจังหวัดต่าง ๆ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาวอีกมากมาย เอาเป็นว่าใครชอบที่ไหนก็อย่าลืมออกไปสัมผัสความงดงามของเมืองไทยกันดูนะ
ขอบคุณ : http://travel.kapook.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น